ทัวร์ยุโรปตะวันออก เยอรมัน ออสเตรีย เชค
อีกไม่นานก็จะถึงวันหยุดยาวกันแล้วสินะครับ หวังว่าท่านที่กำลังอ่านบทความของผมอยู่ตอนนี้น่าจะกำลังคงค้นๆ หาๆ สถานที่ต้องเที่ยวสำหรับการพักผ่อนสุดประทับใจในช่วงปีใหม่กันอยู่ใช่ไหมเอ่ย เอาละครับ... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้ผม “นาย Patty… พาเที่ยว” เจ้าเก่าเจ้าเดิมจะขอแนะนำโปรแกรมทัวร์ยุโรปตะวันออกมาฝากให้ทุกท่านที่กำลังหาสถานที่ท่องเที่ยวช่วงวันหยุดปีใหม่ที่จะมาถึงนี้กันครับ พักผ่อนทั้งทีต้องไปให้คุ้มแบบจุใจกับโปรแกรมทัวร์ 8 วัน 5 คืน ยาวๆ 3 ประเทศ ได้แก่ “เยอรมัน ออสเตรีย และเชค” กันไปเลย
ก่อนอื่นพอเท้าเริ่มแตะถึงพื้นสนามบินมิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมนี แค่นึกก็รู้สึกตื่นเต้นกันแล้วใช่ไหมครับ (แต่อย่าลืมปรับเวลาหรือเตรียมตั้งนาฬิกาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยนะครับ เพราะเวลาที่นี่เดินช้ากว่าประเทศไทยถึง 6 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว)
โดยสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวกันตลอดทริปนี้จะประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญๆ ยอดนิยม ได้แก่
1. “ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein Castle)” ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่สาวๆ จะต้องชื่นชอบและขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำแน่นอน เพราะปราสาทแห่งนี้ คือ ต้นแบบของปราสาทเจ้าหญิงนิทราในดิสนีย์แลนด์ ซึ่ง “ปราสาทนอยชวานสไตน์” ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาดุจปราสาทในเทพนิยาย ปราสาทแห่งนี้เป็นของพระเจ้าลุดวิคที่ 2 หรือ เจ้าชายหงส์ขาว โดยห้องต่างๆ ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามด้วยการออกแบบของริชาร์ด ว้ากเนอร์ ซึ่งเป็นนักประพันธ์เพลงที่ทรงโปรดปราน
2. เมืองฟุสเซ่น (Fussen) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางแคว้นบาวาเรียตอนใต้ของเยอรมนี โดยเป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นที่ตั้งปราสาทของกษัตริย์บาวาเรีย และถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบน้อยใหญ่ที่มีความงดงามทางด้านทัศนียภาพ “เมืองฟุสเซ่น” เป็นเมืองที่มีความน่ารัก และตกแต่งไปด้วยสีสันที่สวยงามของบ้านเรือนและโรงแรมที่พักซึ่งแต่ล่ะแห่งจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “เมืองฟุสเซ่น” เป็นเมืองสุดท้ายบนถนนสายโรแมนติกที่เคยมีความรุ่งเรืองในอดีตตั้งแต่ยุคโรมัน และได้ใช้เมืองนี้เป็นจุดแวะพักขนถ่ายสินค้า และซื้อขายเกลือมาแต่โบราณ
3. ฮัลสตัท (Hallstatt) หมู่บ้านมรดกโลกแสนสวย อายุกว่า 4,500 ปี เมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าสีเขียวขจีสวยงดงามราวกับภาพวาด โดยกล่าวกันว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดใน Salzkammergut เป็นเขตที่อยู่บนอัพเพอร์ออสเตรีย และมีทะเลสาบสวยถึง 76 แห่ง ออสเตรียให้ฉายาเมืองนี้ว่าเป็น “ไข่มุกแห่งออสเตรีย” และเป็นพื้นที่มรดกโลกของ UNESCO Cultural-Historical Heritage เพียงได้เดินเที่ยวชมเมืองนี้ ก็เปรียบเสมือนท่านอยู่ในภวังค์แห่งความฝันกันเลยล่ะครับ
4. เมืองซาลส์บวร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย เมืองอันเป็นบ้านเกิดของนักดนตรีเอก “วูล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท” ที่มีชื่อเสียงก้องโลก เที่ยวชมความงามของเมืองซาลส์บวร์ก ที่มีความหมายว่า“ปราสาทเกลือ” เขตเมืองเก่าศิลปะบารอคที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำซัลซาค “เมืองซาลส์บวร์ก” เคยเป็นที่ประทับถาวรของอาร์คบิชอป และเป็นศูนย์กลางทางศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่สำคัญของบรรดาประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน จากนั้นเดินเที่ยวชมสวนมิราเบล (Mirabell Garden) ซึ่งเป็นฉากหนึ่งในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “มนต์รักเพลงสวรรค์” (The Sound of Music) ที่โด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วยครับ
5. เมืองมรดกโลกเชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรน้ำงามแห่งโบฮีเมีย และเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นเมืองมรดกโลกใน ค.ศ.1992 (World Heritage) “เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ” ตั้งอยู่ริมสองฝั่งของแม่น้ำวัลตาวา โดยความโดดเด่นของเมืองนี้คืออาคารเก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลางกว่า 300 ปี หลังได้รับการอนุรักษ์และขึ้นทะเบียนไว้ให้เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก จากนั้นชมปราสาทครุมลอฟ (Krumlov) จากบริเวณรอบนอก ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1250 ถือเป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองลงมาจากปราสาทปร๊าก มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวอลตาวา (Valtawa River) ตรงบริเวณคุ้งน้ำ ฝั่งตรงข้ามเป็นย่านเมืองเก่าคลาสสิค Senete Square และโบสถ์เก่ากลางเมือง
6. ปราสาทแห่งปราก (Prague Castle) สร้างขึ้นอยู่บนเนินเขาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 ในสมัยเจ้าชาย Borivoj แห่งราชวงศ์ Premyslids ซึ่งปัจจุบันเป็นทำเนียบประธานาธิบดี (ตั้งแต่ปี ค.ศ.1918) จากนั้นเที่ยวชมมหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral) ซึ่งมีความงดงามตามสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในสมัยศตวรรษที่ 14 ปละนับว่าเป็นมหาวิหารสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในกรุงปร๊าก ซึ่งพระเจ้าชาร์ลที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1344 โดยภายในเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์สำคัญในอดีต เช่น พระเจ้าชาร์ลที่ 4, พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 และ พระเจ้าแมกซิมิเลี่ยนที่ 2 และจากนั้นเดินเที่ยวชมต่อที่พระราชวังหลวง (Royal Palace) ที่เป็นหนึ่งในส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของปราสาท ใช้เป็นที่ประทับของเจ้าชายโบฮีเมียน
7. ย่านช่างทองโบราณ (Golden Lane) แหล่งขายของที่ระลึกครับ
8. สะพานชาร์ล (Charles Bridge) สะพานเก่าแก่ข้ามแม่น้ำวัลตาวา สไตล์โกธิค สร้างขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 สมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 4 เที่ยวชมรูปปั้นโลหะของเหล่านักบุญที่ตั้งอยู่สองข้างราวสะพานกว่า 30 องค์ และเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองที่เรียงรายอยู่บนตลอดแนวสะพาน ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึก หรือ สินค้าแฟชั่นชั้นนำมากมาย
9. ศาลาว่าการเมืองหลังเก่า (Old Town Hall) ที่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1338 มีจุดเด่นคือ นาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) ที่สวยงามและยังตีบอกเวลาทุกๆชั่วโมง
10. เมืองเดรสเดน (Dresden) ได้รับสมญานามว่าเป็น “ฟลอเร้นซ์แห่งแม่น้ำเอลเบ้” และว่ากันว่าเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดในประเทศเยอรมนี เมืองนี้ได้กลับมามีบทบาทในฐานะเมืองหลวงของแซกโซนี่อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1990 หลังจากมีการรวมประเทศ เมืองได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่อย่างมีขั้นตอนอันสืบเนื่องมาจากผลแห่งการทำลายล้างของสงครามโลกครั้งที่สอง
11. พระราชวังซองส์ซูซี (Sanssouci Palace) สร้างขึ้นในศิลปะแบบโรโคโค โดยสถาปนิกชื่อ จอร์จ เวนซเลาส์ ฟอน คโนเบิลสดอร์ฟฟ์ เป็นพระราชวังที่พระเจ้าฟรีดริชโปรดปรานมาประทับในฤดูร้อน และใช้เป็นที่หลบจากความวุ่นวายในพระราชพิธีต่างๆที่เบอร์ลิน จึงเป็นที่มาของชื่อพระราชวังที่แปลว่า “ไกลกังวล” พระราชวังเป็นอาคารชั้นเดียวที่ประกอบไปด้วยห้องต่างๆเพียง 10 ห้อง หลังจากหมดรัชสมัยของพระเจ้าฟรีดริช พระราชวังซองส์ซูซี ยังเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายเยอรมันจนเมื่อราชวงศ์โฮเฮ็นซอลเล็นมาสิ้นสุดลงเมื่อปี ค.ศ. 1918 และหลังจากการรวมตัวระหว่างเยอรมนีตะวันออกและตะวันตกในปี ค.ศ. 1990 ร่างของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ก็ถูกนำกลับมาฝังบนเนินที่ซ็องซูซีตามพระราชประสงค์เดิมของพระองค์ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต พระราชวังซ็องซูซีและอุทยานได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1990 ภายใต้ชื่อว่า "พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลิน”
12. อนุสรณ์สถานกำแพงเบอร์ลิน (The Berlin Wall) เข้าสู่อีสต์ - ไซด์ - แกลลอรี่ ที่ทิ้งร่องรอยของกำแพงเบอร์ลิน ฉากต่างๆที่เกิดจากการพลัดพรากของเหตุการณ์วันที่ 13 สิงหาคม 1961 วันเริ่มการสร้างกำแพง โดยกำแพงมีความยาวกว่า 100 ไมล์ สูง 4 เมตร ถูกถ่ายทอดเป็นภาพวาดที่เกิดจากศิลปินกว่า 118 ท่านบนซากกำแพงกว่า 1,200 หลา ที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆแทนคำพูดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเป็นภาพเขียนศิลปะที่ยาวที่สุดในโลก
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามแล้ว ยังมีแหล่งเพื่อช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น CALVIN KLEIN, CROCS, GEOX, GUESS, LACOSTE, NIKE, ADDIDAS, OAKLEY, DIESEL และสินค้าอื่นๆ ให้เลือกซื้อไว้เป็นของฝากติดไม้ติดมืออีกด้วยนะครับใน “McArthurGlen Designer Outlet in Berlin” (สามารถดูรายละเอียดโปรแกรมทัวร์ยุโรปตะวันออก เยอรมัน ออสเตรีย เชค เพิ่มเติมได้ที่ http://www.tripleenjoy.com) แล้วพบกันกับผม “นาย Patty… พาเที่ยว” ในทริปวันหยุดนี้นะครับ