วันที่ 1 | กรุงเทพมหานคร - ดูไบ |
22.00 น. | คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ เคาน์เตอร์เช็คอิน ผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์เช็คอินสายการบิน เอมิเรสต์ แอร์ไลน์ส (EK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ |
วันที่ 2 | ดูไบ – คาซาบลังกา |
01.35 น. | ออกเดินทางสู่ดูไบ โดยเที่ยวบิน EK385 (ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง สายการบินฯ มีบริการ อาหารค่ำ ระหว่างเที่ยวบิน |
04.45 น. | เดินทางถึงดูไบ แวะเปลี่ยนเครื่อง เที่ยวบิน EK751 อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีภายในสนามบินซึ่งมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมาย |
07.30 น. | ออกเดินทางจากสนามบินดูไบ สู่ สนามบินคาซาบลังกา บริการอาหารเช้าบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 8.45 ชั่วโมง) |
12.45 น. | เดินทางถึงสนามบินคาซาบลังกา ประเทศโมร็อกโก นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร นําท่านชม เมืองคาซาบลังกา เมืองใหญ่ทางตะวันตกของโมร็อกโก ซึ่งชื่อของ เมืองคาซาบลังกา คำว่า คาซา แปลว่าบ้าง และบลังกา แปลว่า สีขาว เมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้ว ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca ออกฉายในปี ค.ศ.1942 (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังกาเลย) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมร็อกโก นำท่านเที่ยวชม ย่านเมืองเก่าแห่งคาซาบลังกา (Medina of Casablanca) ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองสูง ในอดีตเคยใช้ปกป้องตัวเมืองจากข้าศึก สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เริ่มต้นจากหอนาฬิกาประจำเมืองเก่า บริเวณรอบๆตัวเมืองเก่าหรือเมดิน่า ท่านจะเห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆของเมืองที่ทันสมัยแห่งนี้ หลายสิ่งก่อสร้างเป็นของดั้งเดิมตั้งแต่สมัยที่ถูกรุกรานโดยประเทศฝรั่งเศส และเต็มไปด้วยบ้านเรือนตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 สองริมข้างทางจะมีร้านค้าแผงลอยขายของฝากพื้นเมือง นำท่านเข้าชมสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Mosque of Hassan II) สุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1993 ในวาระเฉลิมพระชนม์ครบ 60 พรรษาของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่มาก จุคนได้ราว 25,000 คน และมีหอคอยสูงถึง 210 เมตร ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส มิเชล แปงโซ การตกแต่งทั้งภายในและภายนอกมีความสวยงามโดดเด่น เป็นไปตามเอกลักษณ์ของศิลปะมุสลิมที่ผสมผสานงานศิลปะพื้นเมืองของโมร็อกโกได้อย่างกลมกลืน อาคารทั้งหลังใช้หินอ่อน แผ่นกระเบื้อง ประดับประดาด้วยศิลปะแบบมัวร์ ประตูรอบสุเหร่าสร้างด้วยไทเทเนียมและทองเหลืองสลักเสลางดงาม อิสระให้ท่านชมทิวทัศน์รอบๆสุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล นำท่านเที่ยวชม Corniche ริมชายหาดของคาซาบลังกา ในย่านชานเมือง Ain Diab ชายฝั่งทะเล ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคลับสุดหรูริมหาด Atlantic และเป็นที่นิยมในหมู่นักโต้คลื่นและผู้ที่ชื่นชอบการอาบแดด เมื่อตกดึกเหล่านักท่องเที่ยวต่างไปรวมตัวกันที่ไนท์คลับ เลานจ์ค็อกเทล และบาร์ติดทะเล ส่วนที่ถนน Boulevard de la Corniche นั้นมีร้านอาหารหลากหลายตั้งแต่ร้านอาหารแบบเรียบง่ายไปจนถึงร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรู |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารจีน |
ที่พัก | Novotel City Center Hotel**** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | คาซาบลังกา – ราบัต – เชฟชาอูน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองราบัต (Rabat) (ระยะทาง 90 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 เมื่อโมร็อกโกหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม นำท่านเข้าชมป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในเป็นเมดิน่า หรือชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของโมร็อกโก ที่ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม จากนั้นนำท่านเข้าชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 (Mohammed V Mausoleum) พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183x139 เมตร |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) (ระยะทาง 250 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.45 ชั่วโมง) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางภูเขา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศโมร็อกโก ถูกสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1471 ถือเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศโมร็อกโก ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองนี้ ที่มีความแปลกตาของอาคารบ้านเรือน มีสีสันสดใส ถูกทาด้วยสีฟ้าและสีน้ำเงิน โดยความเชื่อทางศาสนาของชาวยิว เชื่อว่า สีน้ำเงินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า เป็นสีของท้องฟ้า และทะเล อีกทั้งยังเป็นสีกึ่งกลางระหว่างขาวและดำที่แสดงถึงความสมดุล ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชาวยิวในเมืองนี้ ร่วมกันทาสีทั่วเมืองให้เป็นสีน้ำเงิน เพื่อรำลึกถึงพระเจ้า นำท่านเที่ยวชม เมดิน่าของเมืองเชฟเชาอูน ที่บ้านเรือนตกแต่งด้วยอาคารสีฟ้า อิสระให้ท่านได้เก็บภาพความสวยงามของนครสีฟ้า ได้ตามอัธยาศัย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม |
ที่พัก | Dar Echchaouen Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 4 | เชฟชาอูน – เมคเนส – โวลูบิลิส – เฟซ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองเมคเนส (Meknes) (ระยะทาง 207 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.15 ชั่วโมง) นำท่านเที่ยวชม เมืองเมคเนส (Meknes) หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล แห่งราชวงศ์อะลาวิท อดีตกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณนำท่านแวะถ่ายรูปกับ ประตูบับมันซู (Babmansour Monument gate) หนึ่งในประตู 7 ประตู ประจำกำแพงเมืองเก่าที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1732 ตกแต่งด้วยโมเสกและกระเบื้องหินอ่อนบนผนังสีแสด จากนั้นนำท่านเข้าชม สุสานสุลต่านมูเลย์ อิสมาอิล (Moulay Ismail Mausoleum) เป็นหนึ่งในสุสานสุลต่านเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมเข้าเยี่ยมชมได้ แม้จะไม่สามารถเข้าไปในส่วนที่บรรจุหีบพระศพจริงๆได้ก็ตาม |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเข้าชม เมืองโรมันโบราณโวลูบิลิส (Roman City of Volubilis) อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันที่มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองเฟซ (Fes) (ระยะทาง 82 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองหลวงเก่าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 8 และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโก นำท่านเข้าชม สุสานของมูเลไอดริสที่ 2 (Mouley Idriss Mausoleum II) ที่ชาวโมร็อกโกถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยชายชาวมุสลิมจะมาขอพรก่อนการเข้าสุหนัต และหญิงสาวชาวมุสลิมมักจะมาขอพรเพื่อให้ได้บุตร จากนั้นนำท่านเข้าชม สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque & University) มัสยิดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโมร็อกโก รองจากมัสยิดพระเจ้าฮัวซันที่ 2 ที่คาซาบลังกา เป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมร็อกโกและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) จากนั้นนำท่านผ่านชม ประตู Bab Bou Jeloud ประตูขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | Bacelo Fez Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | เฟซ - มิเดลท์ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินชม ย่านเมืองเก่าแห่งเฟซ (Medina of Fes) เขตเมืองเก่าอันกว้างใหญ่ มีซอยกว่า 10,000 ซอย โดยจะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันคึกคัก ข้าวของกระจุกกระจิก มีเวลาให้ท่านเดินเล่นเลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย (กรุณาเดินตามเส้นทางที่หัวหน้าทัวร์แจ้งไว้ เพื่อป้องกันการหลงกับหมู่คณะ) นำท่านเดินชมย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปโดยรอบบริเวณ ซึ่งมีสีสันสดใสสวยงาม |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเดินทางเดินทางสู่ เมืองอิเฟรน (Ifrane) (ระยะทาง 70 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมร็อกโก บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นำท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมร็อกโก ปัจจุบันเมืองอิเฟรนเป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยม ถ่ายรูปกับ สิงโตแห่งอิเฟรน (Ifrane’S Lion) พร้อมเก็บภาพบรรยากาศอันงดงาม นำท่านเดินทางต่อสู่ เมืองมิเดลท์ (Midelt) (ระยะทาง 136 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.20 ชั่วโมง ) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแอตลาส เมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้า การทำเหมืองแร่ ของโมร็อกโก เสน่ห์แห่งโมร็อกโก กลิ่นอายแห่งอิฐ สี ตลาด และเมืองเก่า เมืองที่ตั้งอยู่บนระดับความสูงที่ 1,508 เมตร หนึ่งในเมืองใหญ่ที่สูงที่สุดในโมร็อกโก เที่ยว Souk Jdid ตลาดประจำเมือง ชม และเลือกซื้องานฝีมือท้องถิ่นของเมือง การทอพรมและผ้าห่ม สินค้าสำคัญของเมืองมิเดลท์ และสินค้าพื้นเมืองอื่นๆอีกมากมาย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Taddart, Midelt **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 6 | มิเดลท์ - เมอร์ซูก้า – ทะเลทรายซาฮาร่า – นั่งรถ 4WD - ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) เมืองที่เรียกได้ว่า ประตูสู่ทะเลทรายซาฮาร่า (ระยะทาง 268 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม.) เมืองเงียบสงบที่มีนักท่องเที่ยวผ่านไปมา เพื่อเดินทางต่อสู่ทะเลทรายซาฮาร่า |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่าน สัมผัสประสบการณ์นำท่านนั่งรถ 4WD เพลิดเพลินกับการตะลุย ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara Desert) จากนั้นนำท่านขี่อูฐชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Tombouctou Hotel ,Merzouga **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 7 | เมอร์ซูก้า – โอเอซิสแห่งแทนเกียร์ - วอซาเซท |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ โอเอซิสแห่งแทนเกียร์ (Oasis of Tinghir) (ระยะทาง 199 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.20 ชม.) ชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกันบนความชุ่มชื้นของโอเอซิสและต้นปาล์มท่ามกลางความแห้งแล้ง โดยน้ำในโอเอซิสจะมีมากหรือน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาสูงหรือปริมาณน้ำจากใต้ดิน โดยน้ำใต้ดินอาจผุด ขึ้นมาตามธรรมชาติบนพื้นที่ที่เป็นทราย หรือถูกขุดนำขึ้นมาใช้โดยระบบชลประทานใต้ดิน การทำเครือข่ายและระบบชลประทานใต้ดินดังกล่าวนี้ สามารถทำให้พื้นที่แห้งแล้งทางใต้ของโมร็อกโกมีน้ำใช้ได้อย่างทั่วถึงและกว้างขวาง และยังเคยเป็นที่ตั้งของกองทหารและเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ โดยในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหารเพื่อการรบ นำท่านเข้าชมมัสยิดอิคาลัลเน่ (Ikalalne Afanour) มัสยิดเก่าแก่ท่ามกลางโอเอซิส ที่ท่านจะได้ชมห้องต่างๆ พร้อมชมวิวโอเอซิสที่งดงาม |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) (ระยะทาง 173 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม.) นำท่านเที่ยวชม เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) ดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ประตูสู่ทะเลทราย นับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การขี่มอเตอร์ไซค์ ขี่อูฐ และกิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทรายต่างๆ และยังเป็นที่ตั้งของแอตลาสสตูดิโอ (Atlas Studio) โรงถ่ายภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในโมร็อกโก บนพื้นที่กว่า 30,000 ตารางกิโลเมตร นำท่านแวะถ่ายรูปภายนอกกับ ป้อมทาเริท (Taourirt Fortress) ป้อมแห่งตระกูลกลาวี ภายใต้หมู่อาคารขนาดใหญ่ นับเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของโมร็อกโกตอนใต้ ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆจำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม |
ที่พัก | Raid Ouarzazate Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 8 | วอซาเซท – เอทเบนฮัดดู – มาราเกช |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านชม เมืองเอทเบนฮัดดู (Ait Ben Haddou) (ระยะทาง 30 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที) หนึ่งในมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1987 ปัจจุบันยังคงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "GLADIATOR" และล่าสุดคือซีรี่ย์อเมริกาชื่อดัง “GAME OF THRONE” นับเป็นกลุ่มอาคารที่โดดเด่นมีกำแพงล้อมรอบ สร้างจากโคลนดินแห้งสีแดง และมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการหรือคัสบาห์หลายๆป้อมที่สร้างต่อเรียงรายกัน ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเมลลาห์ เส้นทางคาราวานการค้าโบราณระหว่างทะเลทรายซาฮาร่ากับเมืองมาราเกช นำท่านเดินทางสู่ เมืองมาราเกช (Marrakesh) (ระยะทาง 182 ก.ม.ใช้เวลาเดินทาง 2.45 ช.ม.) |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านชม เขตเมืองเก่า (Medina of Marrakesh) ที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบ ประกอบด้วยสถานที่สำคัญมากมาย รวมทั้งตลาด ย่านการค้า ป้อมปราการ โรงเรียนสอนศาสนา และชุมชนชาวยิว นำท่านชม จตุรัสเจมา เอล์ฟนา (Djemaa Fnaa Square) จตุรัสกลางเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงที่สุด และในปีค.ศ. 1985 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของมาราเกชเป็นมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์ จากน้ำนำท่านเข้าชม สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอลองค์ (Yves Saint Laurant Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves Saint Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์ แห่งปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ สวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทั้งหมด 2.5 เอเคอร์ สวนที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้เมืองร้อน กระบองเพชร และปาล์มชนิดต่างๆ ที่ตัดกับตัวอาคารไตล์โมร็อกโกสีฟ้าโคบอล์ท อย่างมีเอกลักษณ์ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | Novotel Hivernage Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 9 | มาราเกช – คาซาบลังกา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเข้าชมพระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) ซึ่งสร้างขึ้นโดย SI MOUZZA ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูน STUCCO มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสคสวยงาม นำท่านชมพระราชวัง เอลบาดิ (Palace El Badi) ศิลปะแบบโมร็อกกัน-อันดาลูเซียน ที่ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 20 ที่ใช้ทั้งหินอ่อนคาร์ราราจากอิตาลี และวัสดุก่อสรางล้ำค่าจากอินเดีย เคยเป็นหนึ่งในพพระราชวังที่มีคว่มงดงามที่สุดๆของโลก แต่ปัจจับนเหลือเพียงซากปรักหักพัง |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน |
บ่าย | นำท่านชม มัสยิดคูตูเบีย (Koutoubia Mosque) มัสยิดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองมาราเกซ ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดก็จะเห็นหอคอยของมัสยิดที่มีความสูง 77 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 12 นอกจากนี้ การออกแบบอันงดงามของมัสยิดแห่งนี้ จึงเป็นต้นแบบของการก่อสร้างหอคอยอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นหอคอยฆีรัลดาแห่งเมืองเซบีย่าของประเทศสเปน และหอคอยฮัสซันแห่งเมืองราบัต นำท่านชม สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (Saadian Tombs) ที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะและเปิดให้เข้าชมความงดงามในแบบฉบับของศิลปะแบบมัวริสแท้ๆ ความวิจิตรอลังการของห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน สวนสวยภายนอกที่สร้างขึ้นใหม่ ตามแบบ Allah’s Paradise ให้ท่านได้เพลินเพลินกับการเลือกซื้อชอปปิ้ง ของพื้นเมือง ของที่ระลึก นำท่านออกเดินทางสู่เมืองคาซาบลังกา (ระยะทาง 245 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ช.ม.) ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพระหว่างการเดินทาง |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารไทย |
ที่พัก | Novotel City Center Hotel**** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 10 | คาซาบลังกา - ดูไบ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเข้าชมโบสถ์แม่พระแห่งลูร์ด (Notre Dame de Lourdes) โบสถ์คาทอลิกสมัยใหม่ สร้างขึ้นในปี 1954 โดยสถาปนิก Achille Dangleterre และวิศวกรGaston Zimmer ชมความงดงามของกระจกแก้วหลากสี ของศิลปินกระจกสีชื่อดังระดับโลก Gabriel Loire นำท่านถ่ายรูปกับ จตุรัสโมฮัมเหม็ดที่ 5 (Place Mohammed V) จัตุรัสสาธารณะที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเชิงสัญลักษณ์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคาซาบลังกา จัตุรัสศูนย์กลางเมือง เป็นที่ตั้งของอาคารหน่วยงานราชการ สำคัญของเมือง เช่น ที่ทำการเมือง ศาลยุติธรรม ไปรษณีย์กลาง สถานฑูตฝรั่งเศส จากนั้นถ่ายรูปกับมะห์กามัต อัล ปาชา (Mahkama Du Pacha) ศาล และเรือนจำของ คาซาบลังกา ที่สร้างในปี 1941 – 1942 |
12.00 น. | นำท่านเชคอินสายการบิน เอมิเรสต์ อิสระอาหารกลางวันภายในสนามบินตามอัธยาศัย |
15.05 น. | ออกเดินทางจาก สนามบินคาซาบลังกา กลับกรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินที่ EK752 (ใช้เวลาบินประมาณ 7.25 ชั่วโมง) สายการบินบริการอาหาร เครื่องดื่ม และพักผ่อนบนเครื่องบิน |
วันที่ 11 | ดูไบ - กรุงเทพมหานคร |
01.30 น. | เดินทางมาถึง ดูไบ แวะเปลี่ยนเครื่อง อิสระให้ท่านช้อปปิ้งใน DUTY FREE SHOP ภายในสนามบิน |
02.50 น. | ออกเดินทางสู่ประเทศไทย โดยเที่ยวบินที่ EK384 (ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง) สายการบินฯ มีบริการอาหาร 2 รอบ คือ อาหารค่ำ และ อาหารเช้า |
12.30 น. | เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) |