วันที่ 1 | กรุงเทพฯ |
22.00 น. | พร้อมกันที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 เคาน์เตอร์ T โดยสายการบิน EMIRATES โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน |
วันที่ 2 | กรุงเทพฯ – ดูไบ – ลิสบอน – ซินตรา – ลิสบอน |
01.15 น. | เหินฟ้าสู่ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบิน EK 385 (01.15-04.45) (ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง 30 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง) |
04.45 น. | ดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เมืองลิสบอน (Lisbon) |
07.25 น. | เหินฟ้าสู่ เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบิน EK 191 (07.25-12.35) (ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 10 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง) |
12.35 น. | เดินทางถึงสนามบินนานาชาติลิสบอน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรพร้อมรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงทางรถยนต์ราว 6 กิโลเมตรจากสนามบิน |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | ออกเดินทางสู่ เมืองซินตรา (Sintra) (มีระยะทางราว 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที) เป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมของโปรตุเกส ที่สำคัญคือเป็นต้นแบบศูนย์กลางแห่งแรกของสถาปัตยกรรมโรแมนติกของยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้หลายๆเมืองในยุโรปสร้างตามกัน จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในฐานะเป็นภูมิทัศน์เชิงวัฒนธรรม “Cultural Landscape” แห่งแรกในยุโรปเมื่อปี ค.ศ.1995 นำท่านชม พระราชวังพีน่า (Pena National Palace) ตั้งอยู่บนยอดเขาซินตรา เป็นผลงานสถาปัตยกรรมแนวจินตนิยม (Romanticism) ออกแบบโดยสถาปนิกชาวโปรตุเกส เดิมเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งถูกทิ้งร้างแต่หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1755 โบสถ์นี้ได้พังทลายลงเหลือแต่ซากปรักหักพัง จนกระทั่งในปี ค.ศ.1838 กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 ได้ตัดสินใจสร้างพระราชวังขึ้นใหม่แทนที่โบสถ์หลังเดิม แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1854 สถาปัตยกรรมดังกล่าวเป็นการผสมผสานการใช้องค์ประกอบแบบอียิปต์ มัวร์ โกธิก และเรอเนซองส์ อย่างลงตัว พระราชวังทาด้วยสีเหลือง แดง น้ำเงิน ม่วง ดูฉูดฉาด สดใส ล้อมรอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดจากทั่วโลก สวยงามดั่งปราสาทในเทพนิยาย ภายในพระราชวังสมัยศตวรรษที่ 19 มีโบสถ์ กุฏิ และห้องโถงของอารามสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งตกแต่งอย่างหรูหราด้วยกระเบื้องเซรามิกอาซูเลโฮ นำท่านชม แหลมโรก้า (Capo Da Roca) เป็นแหลมที่ตั้งอยู่ปลายสุดทางทิศตะวันตกของทวีปยุโรปติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่โดดเด่นบนหน้าผาหิน เป็นอนุสาวรีย์ประกาศให้ Capo da Roca เป็นจุดตะวันตกสุดของทวีปยุโรป ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นชะง่อนผาสูงประมาณ 100 เมตรเกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลซึ่งทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่สูงกว่า 30 เมตร ส่วนบริเวณนี้มีต้นกรงเล็บแม่มด (Carpobrotus edulis) ปกคลุมอยู่ทั่วซึ่งสามารถทนต่อน้ำทะเลและลมชายฝั่งมากที่สุด นำท่านชม ปราสาทควินตา ดา เรกาเลรา (Quinta da Regaleira) ปราสาทเก่าที่มีการถ่าย ทอดแนวคิดและจินตนาการสุดล้ำลึกของมหาเศรษฐีชาวบราซิลที่นำบ้านหลังนี้มาปรับปรุงใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กลาย เป็นปราสาทที่มีแผนผังและโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร นอกจากตัวปราสาทแล้ว พื้นที่โดยส่วนใหญ่ของที่นี่แบ่งส่วนเป็น สวนป่า โบสถ์ ทะเลสาบเทียม บ่อน้ำลึกลับ เป็นต้น เพียงก้าวเดินเข้าไปข้างในปราสาทก็จะรู้สึกเหมือนตัวเองทะลุไปในอีกหนึ่งมิติที่แฝงไปด้วยความพิศวงน่าอัศจรรย์ใจ ก่อนเดินทางกลับสู่เมืองลิสบอน พาเดินเล่นที่ ย่านเก่าเมืองซินตรา (Old Centre of Sintra) จุดศูนย์รวมตึกอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ในเมือง รวมถึงพิพิธภัณฑ์สำคัญต่างๆ อีกทั้งยังมีโบสถ์ ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ มากมายให้ท่านได้เดินชมเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองได้อย่างอิสระตามอัธยาศัย เดินทางกลับสู่ เมืองลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศโปรตุเกส ตั้งอยู่ทางตอนตะวันตกของประเทศ ในบริเวณปากแม่น้ำเทกัส (Tagus หรือ Tejo) เคยอยู่ใต้ปกครองของกรีกโบราณและโรมัน ลิสบอนได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ แต่เมื่อปี ค.ศ.711 ลิสบอนถูกครอบครองโดยชาวมัวร์และนับถือศาสนาอิสลามในช่วงนั้นชาวลิสบอนจึงใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการ แต่ช่วงปี ค.ศ.1147 ลิสบอนกลับมาอยู่ภายใต้ศาสนาคริสต์อีกครั้ง ลิสบอนเปลี่ยนมาใช้ภาษาโปรตุเกสและชาวอิสลามส่วนมากก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ลิสบอนได้กลายเป็นเมืองหลวงของโปรตุเกสในปี ค.ศ.1255 |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | Holiday Inn Lisbon, an IHG Hotel 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | ลิสบอน – โอบิโดส – บาตาลยา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านชม รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (Sanctuary of Christ the King) ระหว่างทางจะนั่งรถข้ามสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในยุโรป ซึ่งสะพานนี้มีชื่อว่า 25 April Bridge (Ponte 25 de Abril) สะพานข้ามฝั่งที่ข้ามแม่น้ำเทกัส มีความยาวราว 2 กิโลเมตร ชื่อของสะพานแห่งนี้คือ เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1974 ได้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย สะพานแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับสะพาน Golden Gate ที่ซานฟรานซิลโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างโดยบริษัทเดียวกัน จากนั้นท่านจะพบกับ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (คล้ายกับที่ ริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล) อันเกิดจากแรงบันดาลใจของพระคาร์ดินัล พระสังฆราชแห่งลิสบอน (Cardinal Patriarch of Lisbon) ที่ได้ไปเยือนนคร ริโอ เดอ จาเนโร มีความสูง 82 เมตร เป็นอนุสาวรีย์และศาสนสถานของชาวคาทอลิกที่อุทิศถวายให้กับพระหฤทัยของพระเยซูคริสต์ที่ตั้งอยู่ในเมืองอัลมาดา นำท่านชม หอคอยเบเล็ม (Belem Tower) สัญลักษณ์ของเมืองเบเล็ม และสัญลักษณ์ของยุคแห่งการค้นพบ ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1514-1519 โดย Francisco de Arruda สถาปนิกคนสำคัญที่เป็นทหารโปรตุเกสเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแขกมัวร์ สิ่งก่อ สร้างส่วนอื่นๆของหอคอยจะมีส่วนผสมของศิลปะเรอเนซองส์ หอคอยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันเมืองริมฝั่งทะเลและแม่น้ำเทกัส ตัวหอคอยเบเล็มประกอบไปด้วยหินอ่อนมีความสูงกว่า 30 เมตร สร้างเพื่อใช้เป็นป้อมปราการรักษาการณ์ดูแลการเดินเรือ เดิมทีป้อมปราการนี้ตั้งอยู่กลางน้ำแต่เพราะแม่น้ำเทกัสเปลี่ยนทิศการไหลหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1755 จึงทำให้ป้อมปราการย้ายมาตั้งอยู่ริมฝั่งแทนในปัจจุบัน เนื่องจากโปรตุเกสเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะจ้าวแห่งทะเลและเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่มาติดต่อกับสยาม ที่นี่จึงเป็นจุดเริ่ม ต้นของการเดินเรือออกไปสำรวจและค้นพบโลกของวาสโก ดา กามา (Vasco Da Gama) และนักเดินเรือชาวโปรตุเกส เป็นเสมือนตัวแทนความรุ่งเรืองของยุคแห่งการสำรวจและค้นพบในอดีต หอคอยเบเล็มได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1983 นำท่านชม มหาวิหารเจอโรนิโมส (Jeronimos Monastery) อารามนี้ใช้เวลาก่อสร้างราว 100 ปี เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1501 และเสร็จสิ้นพร้อมเปิดใช้งานในปี ค.ศ.1601 เป็นอารามศักดิ์ สิทธิ์ของบรรดาเชื้อพระวงศ์ และมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับบรรดานักเดินเรือในยุคแห่งการสำรวจและค้นพบ เพราะพวกเขาจะมาสวดภาวนาขอพรในคืนก่อนออกเดินทางที่นี่ ด้วยการออกแบบที่โดดเด่นด้วยรายละเอียดประติมากรรมอันประณีตและลวดลายการเดินเรือ ผลงานสถาปัตยกรรมในสไตล์นี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "มานูเอลีน" (MANUELINE) ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1983 ภายในประกอบไปด้วยอาคารสำคัญต่างๆ รวมทั้งยังเป็นสถานที่เก็บศพของวาสโก ดา กามา นักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกสผู้ค้นพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียอีกด้วย ก่อนอำลา พาแวะร้านทาร์ตไข่ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ Pastéis de Belém ที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิหารเจอโรนิโมส เพราะร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเก่าแก่และรสชาติระดับตำนานเลยทีเดียว |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | ออกเดินทางสู่ โอบิโดส (Obidos) (ระยะทางราว 90 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 15 นาที) เป็นเมืองเก่ายุคกลางที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในโปรตุเกส โอบิดอสมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในดินแดนแถบนี้ ได้มีการตั้งรกรากแล้วก่อนที่ชาวโรมันจะมาถึงคาบสมุทรไอบีเรีย และเมืองก็เจริญรุ่งเรืองหลังจากเมืองแห่งนี้ถูกเลือกให้เป็นของขวัญอภิเษกสมรสจากกษัตริย์ไดนิสแห่งโปรตุเกสได้มอบให้แก่พระราชินีอิซาเบล พระมเหสีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่13 ชื่อเมืองตั้งมาจากภาษาละตินโบราณ แปลว่า “ป้อมปราการอันแข็งแกร่ง” นำท่านชม บริเวณเมืองเก่า ท่านจะพบกับปราสาทโอบิโดสที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีภายในกำแพง และเดินผ่านถนนโบราณที่คดเคี้ยววกวนและเดินชมบ้านเรือนสีขาวสะอาดตา แบบเพลินๆ นอกจากจะได้เห็นมุขมานูเอลีน ช่องหน้าต่างหลากสีสันและจัตุรัสเล็กๆ แล้วก็ยังมีตัวอย่างสถาปัตยกรรมทางศาสนาและโยธาอันวิจิตรมากมายจากยุคทองของเมืองอีกด้วย ที่นี่ ยังมีเครื่องดื่มขึ้นชื่อ คือ Ginjinha de Óbidos (บรั่นดีเชอร์รี่) อย่าลืมลองซื้อชิมรสชาติดู ครั้นได้เวลาพอสมควร เดินทางต่อสู่ เมืองบาตาลยา (Batalha) (ระยะทางราว 58 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 50 นาที) แวะชม อารามบาตาลยา (Batalha Monastery) เป็นอารามโดมินิกัน สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของชาวโปรตุเกสในการรบที่อัลจูบาร์โรตา (Battle of Aljubarrota) ในปี ค.ศ.1385 เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดและเป็นต้นฉบับของสถาปัตยกรรมโกธิคผสมผสาน กับสไตล์มานูเอลีน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ.1983 |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | Hotel Villa Batalha 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 4 | บาตาลยา – ฟาติมา – โคอิมบรา – ปอร์โต |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม ออกเดินทางสู่ เมืองฟาติมา (Fatima) <25 KMS / 30 MIN> เป็นเมืองเล็กๆที่รู้จักของบรรดานักแสวงบุญผู้ซึ่งเดินทางมาสักการะบูชาพระแม่มารี ตามตำนานเล่าว่าในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1917 ผู้คนกว่า 70,000 คนได้มารวมตัวกันที่แอ่งอีรียา (Cova da Iria) เพื่อรอดูอัศจรรย์ตามคำสัญญาที่แม่พระที่ให้ไว้แก่เด็กเลี้ยงแกะ 3 คน ลูซีอา (Lúcia Santos) ฟรานซิสโก และยาชินทา (Francisco and Jacinta Marto) โดยทั้งสามคนได้พบกับพระแม่มารีหรือแม่พระประจักษ์ (แม่พระแห่งลูกประคำ) ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง ในปีค.ศ.1917 นำท่านชม มหาวิหารแม่พระฟาติมา (Sanctuary of Our Lady of Fatima) เป็นมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส เพราะจะมีชาวคริสต์คาทอลิคผู้แสวงบุญเดินทางมาสักการะบูชาพระแม่ประจักษ์นับแสนคนในช่วงวันสำคัญ คือวันที่ 13 พฤษภาคม และ 13 ตุลาคมของทุกปี โดยจะมีพิธีมิสซาระลึกถึงการประจักษ์มาของแม่พระ และมีพิธีแห่รูปแม่พระแห่งฟาติมา พร้อมกับพระธาตุของนักบุญฟรานซิสโกและนักบุญยาชินทา เชิญชมต้นโอ๊คเป็นจุดที่แม่พระปรากฎต่อหน้าเด็กเลี้ยงแกะทั้งสาม สัมผัสรับพลังแห่งความรักและเมตตาของแม่พระประจักษ์ที่มีต่อโลกและมนุษย์ ณ Chapel of the Apparitions ที่เก่าแก่และถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1919 และปัจจุบันถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมหาวิหารแม่พระแห่งลูกประคำ เดินทางต่อสู่ เมืองโคอิมบรา (Coimbra) <85 KMS / 1 HRS> เมืองหลวงเก่าของโปรตุเกสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องความเป็นเมืองมหาวิทยาลัย เพราะมีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโปรตุเกสตั้งอยู่ที่นี่ เมืองโคอิมบราเป็นเมืองที่มีสีสันสดใสสังเกตดูได้จากจัตุรัสลาร์โก ดา ปอร์ตาเกม (Largo da Portagem) ที่มีสถาปัตยกรรมงดงามในแบบโปรตุเกสโดยแท้ ทั้งรูปปั้น และอาคารร้านค้าร้านรวงต่างๆ ตลอดจนวิถีชีวีตของผู้คนผู้เติมเต็มให้โคอิมบราดูมีชีวิตชีวาครบองค์ประกอบ พาท่านเดินทอดน่องบนถนนคนเดินชื่อ เฟอร์เรยรา บอร์เกส (Rua Ferreira Borges) ที่ทอดยาวเข้าไปหาเมืองเก่าที่มีร้านรวงต่างๆ ให้เลือกช้อปปิ้งตลอดทาง หรือจะแวะทานขนมที่ร้านขายขนมชื่อว่า Pastelaria Toledo ร้านเก่าแก่ประจำเมืองที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มารอต่อคิวซื้อทาร์ตไข่แสนอร่อย แล้วมุ่งหน้าเดินไปยังไฮไลท์ของเมือง ณ มหาวิทยาลัยโคอิมบรา (University of Coimbra) มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโปรตุเกส และถือเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อันดับต้นๆ ของยุโรปอีกด้วย ที่ก่อตั้งขึ้นในพระราชวังอัลคาโซวา (The Royal Palace of Alcáçova) ในปี ค.ศ.1537 ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยโคอิมบรา ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.2013 ด้วยชัยภูมิที่ดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเนินเขา ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์และแม่น้ำมอนเดโก (Mondego River) ที่ไหลผ่านเมืองได้อย่างสวยงาม เมื่อขึ้นมาถึงอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยอันเก่าแก่แห่งนี้ นอกจากรูปปั้นของพระเจ้าจอนห์ที่ 3 ที่ตั้งอยู่กลางลานแล้ว ยังมีหลายจุดที่น่าสนใจ อาทิเช่นหอนาฬิกา และโบสถ์เล็กๆ แต่ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ ห้องสมุดจอห์นที่ 5 (Biblioteca Joanina) อันเก่าแก่ที่ด้านในบรรยากาศเคร่งขลังยิ่งกว่าโบสถ์ บางครั้งรู้จักกันในชื่อ Joanine Library เป็นห้องสมุดสไตล์บารอค ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัยโคอิมบรา ถือเป็นหนึ่งในห้องสมุดที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ บนเพดานมีรูปวาดสีทองสวยงาม ประตูทางเข้าทำมาจากไม้สัก โต๊ะไม้นำเข้ามาจากอิตาลี และชั้นวางหนังสือทำจากไม้โอ๊ค เขาว่ากันว่ามีหนังสือโบราณอยู่กว่า 300,000 เล่ม ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ส่วนมากจะเป็นหนังสือทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การศึกษามนุษยธรรม กฎหมายและปรัชญา |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | นำท่านชม โบสถ์เซามิเกล (Chapel of São Miguel) ตั้งอยู่ภายในเขตมหาวิทยาลัย ซึ่งเคยเป็นพระราชวังของราชวงศ์โปรตุเกส โบสถ์นี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่นักบุญ São Miguel เนื่องจากนักบุญองค์นี้เป็นผู้ที่เหล่าทหารจะสวดภาวนาถึงท่านก่อนออกไปทำสงครามในช่วงยุคกลาง เพราะเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้พิทักษ์ของพวกเขา โบสถ์เก่าแก่หลังนี้เป็นแบบโบสถ์ดั้งเดิมมีสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลีน ที่เป็นการก่อสร้างแบบโปรตุเกสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกษัตริย์มานูเอลที่ 1 ผู้ทรงทำการปฏิรูปประเทศหลายครั้งหลายครา ภายในโบสถ์ปูด้วยกระเบื้องสีน้ำเงิน สีขาว และสีเหลืองแบบโปรตุเกสบนผนัง มีภาพวาดบนเพดาน แท่นบูชาหลักทำจากไม้และทาด้วยทองคำ มีรูปเคารพและรูปปั้นมากมาย ซึ่งสวยงามอย่างวิจิตรบรรจง ก่อนอำลาเมืองโคอิมบรา นำท่านชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มาชาโด เด คาสโตร (The National Museum Machado de Castro) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งชื่อตามประติมากรชาว โปรตุเกสชื่อ Joaquim Machado de Castro เปิดให้บริการครั้งแรกในปีค.ศ.1913 ตั้งอยู่ในวังบิชอปเดิม (Bishop's Palace) ภายในพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสิ่งของจากโบสถ์และสถาบันทางศาสนาในพื้นที่โดยรอบโคอิมบรา ประติมากรรม ภาพวาด โลหะมีค่า เซรามิก และสิ่งทอ ออกเดินทางสู่ เมืองปอร์โต (Porto) <120 KMS / 1.5 HRS> ตั้งอยู่ริม แม่น้ำโดรู (Douro) (เป็นหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberian Peninsula) ไหลจากต้นน้ำในเขตภาคกลางตอนบนของประเทศสเปน จากนั้นจึงไหลเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศโปรตุเกสไปออกมหาสมุทรแอตแลนติกที่เมืองปอร์โต แม่น้ำโดรูมีความยาวกว่า 897 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำสายหลักสำหรับการขนส่งไวน์ การเกษตร และการท่องเที่ยวสำคัญของเมืองปอร์โต) เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางเก่าแก่ของยุโรป เป็นเมืองท่าสำคัญและมีชื่อเสียง เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทิศตะวันตกของมหาสมุทรเเอตเเลนติกจึงสะดวกต่อการเดินเรือติดต่อกับประเทศต่างๆในทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกา ฯลฯ เมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1996 นำท่านชม สะพานโค้ง (Ponte Dom Luís I) ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1879 ออกแบบโดยกุสตาฟ ไอแฟล (Gustave Eiffel) วิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่โด่งดังจากการออกแบบหอไอเฟลประเทศฝรั่งเศส ความโดดเด่นคือสะพานโค้งสร้างด้วยโลหะสองชั้น ชั้นบนมีความยาวเกือบ 390 เมตร สูง 62 เมตรจากแม่น้ำ ชั้นล่างมีความยาว 174 เมตร สูง 10 เมตรจากแม่น้ำ หนักถึง 3,000 ตัน สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างปอร์โต และวิลลา โนวา เดอ เกียในโปรตุเกส สะพานแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองปอร์โต นำท่านชม อาราม Serra do Pilar (Monastery of Serra do Pilar) เป็นอารามเก่าตั้งอยู่บนโขดหินที่มองเห็นสะพานโค้ง Dom Luís I เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของปอร์โตร่วมกับพื้นที่อื่นๆ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1996 การก่อสร้างอารามแห่งแรกในบริเวณนี้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1538 โดยคำสั่งของนักบุญออกัสติน (Augustine) ภายใต้คำสั่งของ João III เพื่อใช้เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ขนาดใหญ่ในปี ค.ศ.1597 ได้มีการสร้างอารามหลังใหม่ขึ้น เนื่องจากอารามเดิมมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับจำนวนพระสงฆ์ที่พำนัก นับตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 อารามและพื้นที่ต่างๆ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมและโบสถ์ยังคงจัดพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์ พาเดินชม จัตุรัส Praça da Liberdade ที่ถนน Aliados Avenue ล้อมรอบไปด้วยอาคารเก่าเเก่ที่สวยงามหลายอาคาร มีอนุสาวรีย์ทรงม้าของ King Prodo IV ตั้งตระหง่านอยู่ ที่นี่มักจะถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานกิจกรรมสำคัญๆ ของเมืองอยู่เนืองๆ โดยทางทิศเหนือของจัตุรัส เป็นที่ตั้งของอาคารศาลาว่าการเมืองปอร์โต |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | Mercure Porto Centro Aliados hotel 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | ปอร์โต – บราก้า – ปอร์โต |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองบรากา (Braga) ) <62 KMS / 1 HRS> หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโปรตุเกสและยังเป็นที่ตั้งของอัครสังฆมณฑลโปรตุเกสที่เก่าแก่ที่สุด อัครสังฆมณฑลบรากาของคริสตจักรคาทอลิก และเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลแห่งสเปน ระหว่างจักรวรรดิโรมัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ บราการา ออกัสตา (Bracara Augusta) นำท่านชม วิหาร Bom Jesus do Monte ชื่อวิหารนี้แปลว่า “พระเยซูผู้ประเสริฐแห่งภูเขา” สถานที่แสวงบุญของชาวคริสต์ที่แสดงให้เห็นประเพณีของยุโรปในการสร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้รับการส่งเสริมโดยคริสตจักรคาทอลิก มีบันไดแบบบารอคขนาดใหญ่มีความสูงถึง 116 เมตร ที่นำไปสู่ยอดด้านบน มีลาน 17 แห่ง ประดับด้วยน้ำพุ รูปปั้น และการตกแต่งสไตล์บารอคอื่นๆ ตามธีมต่างๆ เมื่อมองจากด้านล่างของบันไดขึ้นไปด้านบนจะมีน้ำพุหินแกรนิตอันวิจิตรบนชานต่างๆ วิหารแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.2019 แล้วเดินทางกลับสู่ เมืองปอร์โต (Porto) |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | ณ บริเวณจัตุรัส Rua do Carmo เป็นที่ตั้งของโบสถ์ Igreja do Carmo (ฝั่งขวา) และ Igreja dos Carmelitas (ฝั่งซ้าย) โบสถ์สองแห่งในปอร์โตที่ตั้งเคียงข้างกันแต่ถูกแยกจากกันโดยบ้าน 3 ชั้นแคบๆ (กว้าง 1 เมตร) ซึ่งมีคนอาศัยอยู่จนถึงปี ค.ศ.1980 เรียกว่า คาซ่าเอสคอนดิด้า Casa Escondida ("บ้านที่ซ่อนอยู่") ตามตำนานสร้างขึ้นเพื่อให้โบสถ์ทั้งสองแห่งไม่มีกำแพงร่วมกัน และเพื่อป้องกันความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างแม่ชี Igreja dos Carmelitas และพระสงฆ์ของ Igreja do Carmo แต่มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ธรรมดากว่าและน่าจะถูกต้องกว่าก็คือ อาคารนี้สร้างขึ้นด้วยเหตุผลด้านสุนทรียศาสตร์อย่างแท้จริง เพื่อป้องกันช่องว่างที่ไม่น่าดูระหว่างโบสถ์ทั้งสองแห่งนั่นเอง นำท่านชม ร้านหนังสือลิฟราเรีย เลลโล (Livraria Lello) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1881 โดยนาย José Lello ผู้ชื่นชอบในศิลปวัฒนธรรม รักการอ่านหนังสือ และหลงใหลในเสียงดนตรี หลังจากเปิดร้านได้หลายปี จึงชักชวน António Lello น้องชายของเขาเข้ามาร่วมทำธุรกิจหนังสือและเปิดตัวอาคารใหม่ในปี ค.ศ.1906 ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิก Francisco Xavier Esteves ด้านหน้าอาคารตกแต่งด้วยกระจกสีกับภาพวาดที่เป็นสัญลักษณ์ของศิลปะและวิทยาศาสตร์ ภายในร้านหนังสือถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างนีโอโกธิคและอาร์ตเดคโค โดดเด่นด้วยสีแดงสดของพื้นบันไดไม้วนสองชั้น ตัดกับราวบันไดสีน้ำตาลเข้มอย่างลงตัวที่เข้ากับชั้นหนังสือสุดคลาสสิคได้อย่างสวยงาม นำท่านชม โบสถ์เซนต์ฟรานซิส (Monument Church of St.Francis) เป็นโบสถ์สไตล์โกธิคที่โดดเด่นที่สุดในปอร์โต และยังมีชื่อเสียงในด้านการตกแต่งภายในสไตล์บารอคที่งามวิจิตรอีกด้วย ตั้งอยู่ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ โบสถ์หลังนี้สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการตกแต่งภายในที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ภายในตกแต่งด้วยงานไม้ปิดทอง และมีข่าวลือว่ามีการใช้ทองคำประมาณ 400-600 กิโลกรัมในการตกแต่ง โบสถ์เซนต์ฟรานซิสจึงถูกเรียกว่า “โบสถ์ทองคำ” อีกหนึ่งจุด เด่นของโบสถ์แห่งนี้คือ Tree of Jesse ซึ่งเป็นประติมากรรมไม้ที่แกะสลักโดย Filipe da Silva และ António Gomes ในปีค.ศ.1718 โดยพรรณนาถึงบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์ซึ่งปรากฏบนต้นไม้ที่แตกแขนง ด้านใต้โบสถ์มีสุสานใต้ดินซึ่งเป็นที่ฝังศพนักบุญฟรานซิส และสมาชิกในตระกูลผู้สูงศักดิ์ของปอร์โต นำท่านชม พระราชวังพาลาซิโอ ดา โบลซา (Palácio da Bolsa) ตลาดหลักทรัพย์เก่าของเมืองปอร์โต โดยเป็นอาคารสไตล์นีโอคลาสสิกที่สร้างมาตั้งเเต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่19 ตั้งอยู่ถัดจากโบสถ์เซนต์ฟรานซิส สร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของคอนแวนต์เซนต์ฟรานซิส หลังจากถูกไฟไหม้ระหว่างสงคราม ภายในอาคารมีห้องโถงกลางขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Pátio das Nações” (Courtyard of the Nations) ล้อมรอบด้วยโครงสร้างกระจกที่ทำให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาทั่วพระราชวัง หลังจากนั้นเดินขึ้นบันไดหินอ่อนและหินแกรนิตไปสำรวจห้องสีทองซึ่งปกคลุมไปด้วยแผ่นทองคำเปลว ห้องสมัชชาใหญ่ที่ตกแต่งด้วยไม้และห้องอื่นๆที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ไฮไลท์ของพระราชวัง คือ ห้องอาหรับ ตกแต่งในสไตล์แขกมัวร์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Alhambra และเป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการของพระราชวังแห่งนี้ อิสระให้ท่านเดินเล่น ณ Praça da Ribeira จัตุรัสที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโดรู เป็นสถานที่เก่าแก่และน่าตื่นเต้นที่สุดของเมืองปอร์โต้ที่น่าตื่นตาไปกับสีสันของอาคารบ้านเรือนริมน้ำและถนนอันคดเคี้ยวของจัตุรัส มีทั้งหอศิลป์ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะท้องถิ่น ร้านขายของที่ระลึกที่จำหน่ายงานฝีมือ และร้านคาเฟ่ที่เสิร์ฟเมนูท้องถิ่นมากมาย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | Mercure Porto Centro Aliados 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 6 | ปอร์โต – บาร์เซโลนา – อันดอร์รา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม เดินทางไปยัง สนามบินนานาชาติปอร์โต เพื่อเตรียมเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ |
08.35 น. | เหินฟ้าสู่ บาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน โดยเที่ยวบินที่ VY 8477 (08.35-11.20) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 45 นาที) |
11.20 น. | เดินทางถึง สนามบินนานาชาติบาร์เซโลนา หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองพร้อมรับกระเป๋าสัมภาระแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | นำท่านเดินทางข้ามพรมแดนเข้าสู่ เมืองอันดอร์รา ลา เวลลา (Andorra La Vella) ประเทศอันดอร์รา <205 KMS / 3HRS> เมืองหลวงกลางหุบเขาของประเทศอันดอร์ราตั้งอยู่บนความสูง 1,023 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล กลางเทือกเขาพิเรนีส (Pyrenees) ระหว่างประเทศฝรั่งเศสและประเทศสเปน ที่สำคัญยังเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงที่สุดของยุโรปอีกด้วย ในส่วน ตัวเมืองหลวงนั้นจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะอยู่ทางตอนเหนือ ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์ ส่วนทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ในย่านที่ใกล้กับแม่น้า Gran Valira จะเป็นเมืองเก่า สถานที่ราชการ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | NH Andorra la Vella hotel 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 7 | อันดอร์รา ลา เวลลา – คานิลโล – อันดอร์รา ลา เวลลา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม เช้านี้เดินออกกำลังกายเบาๆ (1 ชั่วโมง) ตามเส้นทาง Sola Irrigation Canal Trail เพื่อชมวิวทิวทัศน์ของเมืองในหุบเขาเบื้องล่างในมุมกว้างที่มีเทือกเขาเป็นฉากหลัง พร้อมสูดโอโซนให้เต็มปอด นำท่านชม โบสถ์ Sant Joan de Caselles สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 สไตล์โรมาเนสก์ สร้างขึ้นจากหินในท้องถิ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของอันดอร์รา ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรมพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน มีแท่นบูชาจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีและเยอรมัน ซึ่งแสดงให้เห็นภาพชีวิตและการพลีชีพของนักบุญจอห์น ผู้เขียนคัมภีร์ของศาสนาคริสต์และนักบุญอุปถัมภ์ของโบสถ์ นำท่านแวะ จุดชมวิว Mirador Roc del Quer เป็นทางเดินยาว 20 เมตรที่ทอดยาวออกไปในอากาศ สร้างความรู้สึกว่าคุณกำลังลอยอยู่เหนือหุบเขาท่ามกลางเทือกเขาพิเรนีส ส่วนหนึ่งของทางเดินเป็นกระจกใส มีประติมากรรม The Ponderer ชายนั่งห้อยขาอยู่ที่ปลายทางเดินโดยศิลปิน Miguel Ángel González ทางเดินนี้เปิดใช้งานเมื่อปี ค.ศ.2016 นำท่านชม มหาวิหารแห่งเมริทเซลล์ (Sanctuary of Our Lady of Meritxell) ศาสนสถาน ที่สำคัญที่สุดในอันดอร์รา สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นที่ประดิษฐานของพระแม่มารีแห่งเมริทเซลล์ เป็นรูปแกะสลักหลายสีที่ชวนให้นึกถึงศิลปะโรมาเนสก์ดั้งเดิมที่ถูกทำลายจากเหตุ การณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ.1972 นอกจากนี้มหาวิหารแห่งเมริทเซลล์ยังมีงานแกะสลักอื่นๆ ของเหล่านักบุญในประเทศอันดอร์รา มหาวิหารแห่งนี้ได้รับสมญานามว่า Minor Basilica ซึ่งมอบให้โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในปี ค.ศ.2014 ตั้งแต่นั้นมาเมริทเซลล์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่เรียกว่า Marian Route ซึ่งผ่านสถานที่สำคัญอีก 4 แห่งในสเปนและฝรั่งเศส ได้แก่ El Pilar, Montserrat, Torreciudad และ Lourdes ด้วยเหตุนี้มหาวิหารแห่งนี้จึงกลาย เป็นสถานที่ดึงดูดผู้มาเยือนด้วยศรัทธาและจิตวิญญาณ |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | นำท่านชม โบสถ์เซนต์เอสเตฟแห่งอันดอร์รา (St. Esteve of Andorra Church) เป็นโบสถ์สไตล์โรมาเนสก์ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่12 และมีการบูรณะครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยสถาปนิก Joseph Puig จากโบสถ์เดิมเหลือเพียงมุขครึ่งวงกลม และมุขครึ่งวงกลมขนาดเล็กที่ยังคงอยู่ โบสถ์แห่งนี้มีมุขครึ่งวงกลมที่ใหญ่ที่สุดและตกแต่งอย่างหรูหราที่สุดที่เก็บรักษาไว้ในอันดอร์รา ซึ่งมีหน้าต่างสองช่องสองบาน และหลังคาทรงกลมที่ทำจากหินภูเขาไฟ ผนังทั้ง หมดได้รับการตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันบางส่วนได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติคาเทโลเนีย นอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สำคัญภายในโบสถ์ คือ ภาพวาดแห่งดวงวิญญาณจากคริสต์ศตวรรษที่ 18 อิสระให้ท่านได้แวะถ่ายรูปและเดินเล่นชมเมืองเลาะริมแม่น้ำที่ไหลผ่านกลางเมือง แล้วพาไปเดินช้อปปิ้งบริเวณ Meritxell Avenue ถนนสายหลักแห่งช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีของประเทศอันดอร์รา |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | NH Andorra la Vella 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 8 | อันดอร์รา ลา เวลลา – บาร์เซโลนา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางกลับข้ามพรมแดนสู่ เมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) <195 KMS / 2.5 HRS> ชื่อเมือง "บาร์เซโลนา" มาจากคำว่า "บาร์เคโน" (Barkeno) ภาษาพื้นเมืองไอบีเรียนโบราณ ซึ่งพิสูจน์มาจากเหรียญโบราณ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวและเมืองท่าสำคัญของประเทศสเปนที่มีชื่อเสียงทั้งด้านการค้า การศึกษา สื่อความบันเทิง แฟชั่น วิทยาศาสตร์ และศิลปะ จนได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรไอบีเรีย บาร์เซโลนาเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวหลากสีสัน โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมเพราะเป็นเมืองต้นกำเนิดของสถาปนิกชื่อดังนามว่า “อันตอนี เกาดี (Antoni Gaudi)” ระหว่างทาง นำท่านแวะชม มหาวิหารซานตามาเรีย เดอ มอนต์เซอร์รัต (Santa Maria de Montserrat Abbey) ตั้งอยู่บนภูเขามอนต์เซอร์รัต ก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 และสร้างขึ้นใหม่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 เนื่องจากการทำลายล้างของกองทหารนโปเลียน เป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น งานศิลปะที่ทรงคุณค่า ความสำคัญทางศาสนา และทิวทัศน์หุบเขาที่สวยงาม มหาวิหารนี้ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามและเป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระแม่มารีดำอันโด่งดัง รวมถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะทางศาสนาที่จัดแสดงภาพวาด โบราณวัตถุทางโบราณคดี งานทอง และประติมากรรมสมัยใหม่ นำท่านชม โรงพยาบาลเดอเซนต์เปา (Hospital de Sant Pau) อาคารอาร์ตนูโวที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นงานที่สำคัญที่สุดของสถาปนิก Lluís Domènech i Montaner อาคารแห่งนี้เคยเป็นโรงพยาบาลที่ใช้งานจริงจนถึงปี ค.ศ.2009 เมื่ออาคารหลังใหม่เปิดใช้งาน อาคารหลังเก่าจึงเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.2014 ด้วยเอกลักษณ์และความงามทางศิลปะแบบอาร์ตนูโว ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1997 นำท่านชม ปาร์คเกวย์ (Park Guell) สวนประติมากรรมมหัศจรรย์แห่งบาร์เซโลนา ที่นี่โดดเด่นด้านศิลปะงานโมเสค ซึ่งออกแบบโดย อันตอนี เกาดี อี กูร์เนต (Antoni Gaudi i Cornet) สถาปนิกชาวคาตาลัน ประเทศสเปน ภายในสวนแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรมที่ประดับตกแต่งลวดลายด้วยเครื่องกระเบื้องโมเสคนับล้านชิ้น จุดเด่นของสวนสาธารณะแห่งนี้คือ "มังกรโมเสค" (Mosaic dragon) ที่ไต่คลานบนบันไดน้ำพุ อันเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ปัจจุบันสวนสาธารณะปาร์คเกวย์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.2005 |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | นำท่านชม มหาวิหารซากราดา ฟาอมิเลียร์ (Sagrada Familia) สัญลักษณ์แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงถึง 170 เมตร ออกแบบก่อสร้างอย่างสวยงามแปลกตา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1882 เป็นผลงานชั้นยอดที่แสดงถึงอัจฉริยภาพของ อันตอนี เกาดี อี กูร์เนต สถาปนิกชื่อดัง เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม ซึ่งเป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็นนวศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้แม้จะยังสร้างไม่เสร็จก็ตาม นำท่านชม คาซา มิลา (Casa Mila) เป็นอพาร์ทเม้นท์ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลา เปเดอรา (La Pedrera)” แปลว่า “เหมืองหิน” สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ.1906-1912 อพาร์ทเม้นท์หลังสุดท้ายที่ออกแบบโดยอันตอนี เกาดี อี กูร์เนต ส่วนระเบียงเหล็กดัดบิดนั้นออกแบบโดย Josep Maria Jujol สถาปนิกชาวสเปน ในสมัยก่อนผู้คนมักจะบอกว่าตึกนี้หน้าตาช่างหน้าเกลียดเหลือเกิน แถมยังเป็นอพาร์ทเม้นท์หรูที่มีราคาแพงอีก แต่ในปัจจุบันด้วยความแปลกและไม่เหมือนใคร ทำให้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชม และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ นำท่านชม คฤหาสน์คาซา บัตโล (Casa Batllo) เป็นเหมือนบ้านแห่งเทพนิยาย ดีไซน์หรูหราด้วยอัญมณี แต่มีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1877 เป็นบ้านของมหาเศรษฐีชาวบาร์เซโลนา การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจาก “เรื่องราวของเซนต์จอร์จ นักบุญชาวกาตาลุญญาผู้พิชิตมังกร” หลังคาใช้กระเบื้องสีฟ้าและสีม่วง สีเขียว เหลือบๆ กัน วางลักษณะรูปร่างหลังคาคล้ายเกล็ดมังกร ในเวลากลางคืนคฤหาสน์หลังนี้จะเปิดไฟสีสันต่างๆ ชมพูบ้าง ส้มบ้าง จึงเห็นความงามที่แตกต่างกันออกไป และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | Mercure Barcelona Condor 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 9 | บาร์เซโลนา – ดูไบ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านชม โรงละคร Palau de la Música Catalana สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1905-1908 ด้วยแนวนวนิยม (Modernista) แห่งคาตาลัน เป็นยุคที่การเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมผ่านทางเสียงเพลงกำลังรุ่งโรจน์ สถาปัตยกรรมและการตกแต่งของที่นี่มีทั้งศิลปะของสเปนและอาหรับ ใช้เทคนิคหลายรูปแบบทั้งอิฐสี กระเบื้องเคลือบ โมเสก กระจกสี และปูนปั้น ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย นำท่านเดินทางสู่ ถนนคนเดินลารัมบลาส (Las Ramblas) ถนนคนเดินในย่านบาร์เซโลนาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่ชนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยว ถนนสายเล็กๆที่มีความยาวเพียง 1.2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของตลาด Mercat de la Boqueria ประติมากรรมบนถนนนี้ เป็นจุดเช็คอินสำหรับถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวเป็นหลักฐานว่าได้มาถึงที่นี่ มีหลายชิ้นน่าสนใจ เช่น รูปปั้นของ Thomas Alva Edison นักประดิษฐ์ชื่อดังผู้ค้นพบหลอดไฟส่องสว่างที่คนไทยก็คุ้นเคย หรือ ประติมากรรม Galileo Galilei กับกล้องโทรทัศน์ของเขา |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
12.30 น. | นำท่านเดินทางไปยัง สนามบินนานาชาติบาร์เซโลนา เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ประเทศไทย |
15.30 น. | เหินฟ้าสู่ ดูไบ โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบินที่ EK 256 (15.30-00.15) (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 45 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง) |
วันที่ 10 | ดูไบ – กรุงเทพฯ |
00.15 น. | เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องบิน |
03.45 น. | เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบินที่ EK 376 (03.45-12.55) (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 10 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง) |
12.55 น. | เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ |