วันที่ 1 | กรุงเทพฯ - พาโร - ทิมพู |
02.00 น. | เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 10 เคาน์เตอร์ U สายการบินดรุ๊กแอร์ (Drukair) เพื่อทำการเช็คอินก่อนขึ้นเครื่อง |
05.00 น. | เหินฟ้าสู่ เมืองพาโร ประเทศภูฏาน โดยเที่ยวบินที่ KB153 (0500 – 0715) (ใช้เวลาบินประมาณ 3.15 ชม.) ก่อนเครื่องลงจอดที่สนามบินพาโร ท่านสามารถมองเห็นความเขียวชอุ่มของภูเขา และบ้านเรือนของชาวภูฏานที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน |
07.15 น. | เดินทางถึงสนามบินพาโร เมืองพาโร หลังจากผ่านพิธีการศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองแล้ว รับและตรวจกระเป๋าสัมภาระของท่านที่สายพานลำเลียงให้เรียบร้อย และเตรียมแลกเงินให้เป็นเงินสกุลนูทรัมให้เพียงพอกับความต้องการที่เคาน์เตอร์ธนาคารในอาคารสนามบิน นำท่านเดินทางสู่เมือง ทิมพู โดยทางรถยนต์ ( ระยะทางประมาณ 54 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง ) ระหว่างทางท่านสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของภูฏานและท่านจะตื่นตาตื่นใจสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภูฏานที่จะได้พบเห็นตลอดสองข้างทาง ระหว่างทางแวะถ่ายรูป วัดตัมโช (Tamchoe Monastery) ซึ่งมีสะพานเหล็กทอดไปอีกฝั่ง เป็นวัดที่สร้างโดยพระลามะทิเบตที่ต้องการมาหาแร่เหล็ก และท่านก็เป็นผู้คิดค้นการทำโซ่เหล็กเป็นครั้งแรก ซึ่งท่านสามารถเห็นในพิพิธภัณฑ์พาโรด้วย จากนั้นแวะที่ ด่านชูซอม บริเวณจุดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน ชมสถูป 3 รูปแบบที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เป็นสถูปที่นิยมสร้างในดินแดนเทือกเขาหิมาลัย (ในบริเวณเดียวกัน ยังมีเส้นทางที่ตัดไปยังประเทศอินเดียที่ด่านพุนโชลิง ซึ่งในสมัยภูฏานเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเข้ามาทางบกก็ได้ใช้เส้นทางนี้) ก่อนถึงเมืองทิมพู ท่านจะเห็นได้ถึงความแตกต่างมากขึ้นในการก่อสร้างบ้านเรือนที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลพวงจากการพัฒนาประเทศ ซึ่งเมืองหลวงแห่งนี้มีความเจริญมากที่สุด เดินทางถึง เมืองทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน นำท่านไปกราบนมัสการพระศรีศากยมุนีปางนั่งขัดสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งประดิษฐานกลางแจ้ง (Buddha Dorderma) บริเวณยอดเขาในเมืองทิมพูเพื่อความเป็นสิริมงคล ที่นี่ยังถือว่าเป็นจุดชมวิวของเมืองทิมพูอีกแห่งหนึ่ง นำชม Memorial Chorten หรือมหาสถูปที่พระเจ้าจิกมี ดอร์จี วังชุก พระองค์เป็นมหากษัตริย์องค์ที่ 3 ที่ปกครองภูฏานในช่วงปี ค.ศ. 1952-1972 และทรงได้รับพระฉายาว่า “พระบิดาแห่งภูฏานยุคใหม่” (King of Modernization) มีพระราชประสงค์จะสร้างเพื่อเป็นการถวายเป็นพุทธบูชา แทนสัญลักษณ์ กาย วาจา และใจแห่งพุทธศาสนา แต่ท่านได้เสียชีวิตลงเสียก่อน ต่อมาสมเด็จพระราชินีจึงได้ดำเนินการสร้างต่อจนแล้วเสร็จ นำชม วัดชันกังคา (Changangkha Temple) วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ซึ่งถูกสร้างใน ค.ศ.ที่ 14 หรือกว่า 600 ปีที่แล้ว วัดนี้ชาวภูฏานมักจะนำเด็กเล็กๆมากราบไหว้ขอพรและตั้งชื่อให้กับเด็ก เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและไม่ฝันร้ายในยามนอนหลับ ภายในอาคารวิหารมีจิตรกรรมสีฝาผนังที่เก่าแก่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนานิกายวัชรยาน |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | จากนั้นพาท่านชม เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ตาคิน (Takin Zoo) เป็นสถานที่อนุรักษ์สัตว์ประจำชาติของภูฏานซึ่งเรียกว่า ตาคิน (Takin) เป็นสัตว์ที่หายากสามารถพบได้เฉพาะที่ภูฏานในระดับความสูง 3,000 เมตรขึ้นไป ลองไปรับฟังเรื่องราวที่มาของสัตว์ตัวนี้ดูได้จากไกด์ท้องถิ่น แล้วพาชม วัดแม่ชีซิลูคา (Zilukha Nunnary) ซึ่งเป็นวัดแห่งเดียวในทิมพูที่มีแม่ชีจำวัดและศึกษาเล่าเรียนพระธรรมอยู่ |
เย็น | นำท่านชม ตาชิโชซอง (Tashicho Dzong) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองทิมพู ซองแห่งนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากและใหญ่โต ปัจจุบันถูกใช้แยกเป็นส่วนต่างๆ เช่น สถานที่ทำงานของพระมหากษัตริย์ สถานที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในช่วงฤดูร้อน ตลอดจนสถานที่ทำการของรัฐบาลและรัฐสภา เป็นต้น นำท่าน เดินเล่นในตัวเมืองทิมพู ท่านจะรู้สึกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมการแต่งกาย ตลอดจนมิตรไมตรีจิตของผู้คน โดยชาวภูฏานจะแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ ซึ่งผู้ชายแต่งชุดที่เรียกว่า โค (Kho) ส่วนผู้หญิงแต่งชุดที่เรียกว่า คีรา (Kira) ท่านสามารถจับจ่ายซื้อของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ อาทิเช่น ผ้าทอภูฏาน ภาพพระบฏ (Thangka) เครื่องประดับเงิน หนังสือหรือแสตมป์ที่ระลึกในรูปแบบต่างๆ ภูฏานจัดเป็นประเทศ “เจ้าแห่งแสตมป์” แห่งหนึ่งของโลก แสตมป์ของภูฏานจะมีให้เลือกในรูปแบบและราคาที่หลากหลาย ทั้งรูปวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ รูปวัดอารามและพระราชวัง(ซอง) รูปสัตว์ รูปดอกไม้ต่างๆ รวมทั้งยังมีแสตมป์แบบ 3 มิติ อีกด้วย *หมายเหตุ : ก่อนอื่นคงต้องขอพูดถึงเรื่องของซอง (Dzong) เสียก่อน มาภูฏานสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะได้พบเห็นและได้ยินบ่อยๆ คือ ซอง เพราะ “ซอง” ไม่ใช่เป็นเพียงสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญกับด้านการบริหารการปกครองบ้านเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนภูฏาน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของวัดหลักประจำท้องถิ่นนั้นๆ หากแปลความหมายของซอง ซึ่งเป็นภาษาซองคา ก็คือ ป้อมปราการ ที่ในอดีตใช้เป็นที่ใช้ป้องกันอริศัตรูที่มารุกรานแผ่นดินแห่งนี้นั่นเอง |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ |
ที่พัก | Osel Hotel, Thimphu 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 2 | ทิมพู - ปูนาคา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม นำท่านออกเดินทางไปทางทิศตะวันออกของเมืองทิมพู สู่ เมืองปูนาคา ( ระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง ) ระหว่างทาง แวะถ่ายภาพ ซิมโตคาซอง วิทยาลัยแห่งแรกในภูฏาน บนเส้นทางสู่เมืองปูนาคา ท่านสามารถชมทิวทัศน์ของภูเขาสูงสลับกับแม่น้ำลำธารน้อยใหญ่ที่ใสสะอาด ตามข้างทางจะเห็นดอกกุหลาบพันปี (Rhododendron) ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม การทำสวนแอปเปิ้ล และกงล้อมนตราที่หมุนโดยใช้พลังน้ำ ระหว่างกลางทาง เราจะแวะพักจุดที่สูงที่สุดบนเส้นทางนี้ที่ ดอร์ชูลา ( Dorchula Pass ) ในระดับความสูง 3,150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นช่องเขาที่สามารถมองเห็นแนวเทือกเขาหิมาลัยได้ ในบางวันอาจเห็นทะเลหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไป และยังเป็นที่ตั้งของมหาสถูป 108 องค์อีกด้วย เดินทางต่อไปยังเมืองปูนาคา ปูนาคา อดีตราชธานีของภูฏาน ตั้งแต่ปีค.ศ.1639-1955 ซึ่งสร้างและปกครองโดยท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล (Shabdrung Ngawang Namgyal) เป็นพระลามะจากทิเบตที่ธุดงค์มาถึงภูฏาน |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | หลังอาหาร นำท่านเดินเท้าไปชม วัดชิมิลาคัง (Chimi Lhakhang) วัดนี้ได้ถูกค้นพบในปีค.ศ.1499 โดยพระงาวัง ชอคเยล ชาวภูฏานนิยมมาไหว้ขอพรในเรื่องลูกและครอบครัว อาทิ ขอพรให้ประสบความสำเร็จในด้านความรัก ขอให้มีลูกสืบสกุล จากนั้นนำท่านชม จุดชมวิวแม่น้ำโพและแม่น้ำโม ณ บริเวณด้านหน้าของปูนาคาซอง ที่เป็นจุดที่แม่น้ำโพ (Po Chu) และแม่น้ำโม (Mo Chu) ซึ่งหมายถึง แม่น้ำพ่อและแม่น้ำแม่ ทั้งสองสายไหลมาบรรจบกันพอดี เป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ นำชม ปูนาคาซอง (Punakha Dzong) ซองแห่งนี้ได้ชื่อว่า เป็นซองที่สวยที่สุดในประเทศภูฏาน ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสังฆราชในฤดูหนาวเนื่องจากปูนาคามีอากาศไม่หนาวเย็นจนเกินไป ด้วยเหตุที่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงเพียง 1,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเท่านั้น เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่นี่จึงมีอากาศอบอุ่นกว่าในช่วงฤดูหนาว |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น |
ที่พัก | RKPO Green Resort , Punakha 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | ปูนาคา - ทิมพู - พาโร |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ออกเดินทางกลับสู่เมือง พาโร ( ระยะทางประมาณ 131 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง ) ระหว่างทางขากลับแวะเที่ยวที่เมืองทิมพู ก่อนอำลาสู่เมืองหน้าด่านอย่างพาโร นำท่านเยี่ยมชม โรงเรียนสอนงานศิลปะ ( The Traditional Art and Craft School ) ซึ่งท่านสามารถเห็นเด็กนักเรียนที่มีใจรักงานด้านศิลป์กำลังประดิษฐ์งานศิลปะแขนงต่างๆ เช่น การแกะสลักไม้ การปั้นพระพุทธรูปปูนปั้น การวาดภาพพระบฏหรือภาพทังก้า (Thangka) อีกด้วย ต่อด้วยการเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์พื้นบ้าน ( The Folk Heritage Museum ) ปิดท้ายด้วยการชม ที่ทำการไปรษณีย์ภูฏาน ( Post Office ) ซึ่งท่านสามารถเลือกซื้อดวงตราไปรษณียากรที่งดงามของภูฎาน มีให้เลือกหลายรูปแบบและราคา ทั้งรูปวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ รูปวัดและป้อมปราการที่เรียกว่า ซอง (Dzong) รูปสัตว์ รูปดอกไม้ต่างๆ รวมทั้งยังมีสแตมป์สามมิติ เป็นต้น ที่นี่ท่านสามารถถ่ายรูปตัวเองเป็นตราไปรษณีย์ส่งกลับมาประเทศไทยได้อีกด้วย |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | หลังอาหารกลางวัน เดินทางต่อสู่เมืองพาโร นำท่านชม พาโรซอง ( Rinchen Pung Dzong ) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1645 ถูกสร้างบนพื้นที่ที่เด่นตระหง่านอยู่ในหุบเขาพาโร ทางเข้าตัวซองจะมีสะพานไม้ที่สวยงามพาดผ่านแม่น้ำเพื่อเข้าสู่ตัวซอง ที่นี่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Little Buddha อีกด้วย ปัจจุบันพาโรซองเป็นทั้งสถานที่สำหรับส่วนบริหารเมืองพาโรและส่วนที่เป็นวัด ซึ่งมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ประมาณ 200 รูป |
เย็น | นำท่าน เดินเล่นในตัวเมืองพาโร ในยามเย็นก่อนพระอาทิตย์อัสดง รับประทานอาหารเย็น |
ที่พัก | Raven Nest Resort, Paro 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 4 | พาโร - วัดทักซัง - วัดคิชู - ตาซอง |
เช้า | รับประทานอาหารที่โรงแรม นำท่านเดินทางไปยังเชิงเขาเพื่อเตรียมตัวเดินขึ้นเขาไปสักการะวัดอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศภูฏาน ที่ถือว่าเป็นสถานที่ในการจาริกแสวงบุญของชาวพุทธวัชรยาน นั่นคือ วัดถ้ำเสื้อ หรือที่เรียกว่า วัดทักซัง (Taktsang Monastery) เรียกตามภาษาท้องถิ่น ชื่อทักซังนี้มีความหมายว่า เป็นที่อยู่รังของเสือ (Tiger’s Nest) ซึ่งตั้งตามตำนานความเชื่อเก่าของวัดแห่งนี้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่ท่านคุรุรินโปเช เข้ามาเผยแผ่ธรรมะในดินแดนแห่งนี้ ท่านได้แปลงร่างเป็นพญาครุฑขี่หลังเสือ ซึ่งเสือตัวนั้นก็คือร่างที่แปลงมาจากภรรยาของท่าน เหาะเหินขึ้นมาจำศีลภาวนา ณ ถ้ำเล็กๆบนหน้าผาแห่งนี้เป็นเวลากว่า 3 เดือน ต่อมาให้มีการสร้างวัดเพื่อให้พระที่มาปฏิบัติธรรมอยู่อาศัยและสร้างต่อๆ มาถึง 13 อาคาร อาคารเหล่านี้เคยถูกไฟไหม้หลายหนแต่ก็บูรณะขึ้นมาใหม่ ขอเชิญท่านพิสูจน์แรงศรัทธา แรงกายและแรงใจ ในการเดินขึ้นใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ( ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละท่าน ) เพราะเมื่อท่านขึ้นมาถึงบริเวณก่อนถึงทางเข้าวัดแล้ว ท่านจะรู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การเดินขึ้นมาอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่ไม่สามารถเดินถึงอาคารวัดถ้ำเสือ ท่านอาจเดินขึ้นไปถึงบริเวณร้านอาหาร ( Cafeteria ) หรือจะนั่งม้าแคระแทนการเดินก็ได้ ( กรุณาแจ้งความประสงค์ล่วงหน้า ) ใช้เวลาขึ้นลงรวมทั้งสิ้นประมาณ 5-6 ชั่วโมง |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน |
บ่าย | นำท่านเข้าชม วัดคิชู ( Kyichu Lhakhang ) ประกอบด้วยโบสถ์ 2 หลัง หลังเก่าได้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าซองเซินกัมโป กษัตริย์แห่งอาณาจักรทิเบต ตามความเชื่อเรื่องการสยบยักษีตนหนึ่งที่เอนกายนอนขัดขวางการเผยแผ่ศาสนาพุทธในดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงโปรดให้สร้างวัดทั้งสิ้น 108 วัดภายในหนึ่งวัน เปรียบเสมือนการตอกหมุดลงบนร่างของนางยักษีตนนี้ โดยตำแหน่งของวัดสำคัญสองวัดที่สร้างอยู่ในภูฏาน คือ วัดจัมเบ ที่บุมทัง (Jambey Lhakhang) และ วัดคิชู (Kyichu Lhakhang) จะอยู่บนเข่าซ้ายและเท้าซ้ายตามลำดับ วัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่วนโบสถ์หลังใหม่เป็นของสมเด็จย่าในกษัตริย์องค์ปัจจุบัน และในโบสถ์หลังเก่าพื้นปูด้วยไม้แผ่นใหญ่ มีพระประธานองค์ใหญ่ เบื้องหน้ามีรอยบุ๋มเนื่องจากมาจากการยืนและกราบพระในจุดเดียวกันเป็นเวลายาวนานตามอายุวัด ซึ่งศาสนิกชนลัทธิลามะจะกราบแบบนอนราบพื้นอันเป็นการแสดงคารวะสูงสุด เรียกว่า กราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” จากนั้นพาท่านไปที่จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศภูฏาน จูโมฮารี ( Jumohari Peak ) ที่มีความสูง 7,314 เมตร ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี (หากท้องฟ้าเป็นใจ) นำชม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในเมืองพาโร ซึ่งในอดีตเคยเป็นป้อมปราการหรือ ตาซอง (Ta Dzong) แต่ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.1968 มีทั้งหมด 6 ชั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่เก็บรวบรวมเครื่องแต่งกาย อาวุธ เหรียญกษาปณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ไม้สอย สัตว์ป่าในแถบเทือกเขาหิมาลัยตลอดจนดวงตราไปรษณีย์ที่สวยงามมากมายหลายรูปแบบ |
เย็น | รับประทานอาหารเย็น |
ที่พัก | Raven Nest Resort, Paro 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | พาโร - กรุงเทพฯ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบินพาโร เพื่อเตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ |
08.00 น. | เหินฟ้ากลับสู่ ประเทศไทย โดยสายการบินดรุ๊กแอร์ (Drukair) เที่ยวบินที่ KB150 (0800 – 1210) (ใช้เวลาบินประมาณ 3.10 ชม.) |
12.10 น. | ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจและความทรงจำที่ดี |