วันที่ 1 | กรุงเทพมหานคร – อิสตันบูล |
20.00 น. | คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน U (แถว U 14-18) ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสาร เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส (TK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ |
23.05 น. | ออกเดินทางสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรเคียร์โดยเที่ยวบิน TK 69 (ใช้เวลาบินประมาณ 10.25 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และ สายการบินฯ มีบริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า ระหว่างเที่ยวบินสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรเคียร์ |
วันที่ 2 | อิสตันบูล – ตริโปลี – ซาบราทา |
05.20 น. | เดินทางถึงสนามบินอิสตันบูล แวะเปลี่ยนเที่ยวบิน |
08.30 น. | ออกเดินทางจากสนามบินอิสตันบูล สู่สนามบินตูนิส โดยเที่ยวบิน TK 661 บริการอาหารเช้าบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง) |
10.00 น. | เดินทางถึงสนามบินมิติกา ประเทศลิเบีย นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองซาบราทา (Sabratha) ระยะทาง 77 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.45 ชั่วโมง เมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของประเทศลิเบีย เป็นเมืองโรมันโบราณที่ยังคงสภาพสมบูรณ์และสวยงาม โดยองค์การยูเนสโกได้ ประกาศให้เมืองซาบราทา เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1982 คาดว่าเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นในยุคเดียวกับการสร้างเมืองเลปติส เมกนา และคาดการณ์ว่าท่าเรือแห่งเมืองซาบราทา น่าจะสร้างขึ้น 500 ปี ก่อนคริสตกาล โดยชาวฟีนีเซียน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองท้องถิ่นที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้ นำท่านเข้าชมความสวยงามของเมืองโบราณซาบราทา อิสระให้ท่านได้ได้เก็บภาพและความสวยงามของเมืองโบราณแห่งนี้ นำท่านเดินทางกลับสู่เมืองตริโปลี ระหว่างทางท่านได้จะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพสองข้างทางระหว่างดินแดนแห่งทะเลทรายและผืนน้ำทะเล |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
ที่พัก | Radisson Blu Hotel Tripoli **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | ลิเบีย – เมืองมรดกโลกเลปติส เมกนา – ตริโปลี |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่เมืองเลปติส เมกนา (Leptis Megna) (ระยะทาง 122 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 1.45 ชั่วโมง) เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงตริโปลี ถูกขนามนามว่าเป็น อาณาจักรโรมันที่มีชื่อเสียงและงดงามมากที่สุดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังคงสภาพสวยงามรุ่งโรจน์ เพราะอาณาจักรถูกสร้างด้วยหินปูน จึงทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากความงดงามแล้ว จุดเด่นยังอยู่ที่ผังเมืองซึ่งถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นถนน อาคารต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเจริญของ อาณาจักร เลปติส เมกนา ในช่วง ปี 111 ก่อนคริสต์กาล จนถึงช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ปี ค.ศ. 211 โดยกษัตริย์ Septimus Severus ต่อมาอาณาจักรเริ่มเสื่อมสลายลงในช่วงศตวรรษที่ 4 จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวยุโรป และยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้อย่างชัดเจน ยูเนสโกจึงประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1982 นำท่านชมความสวยงามของเมืองโบราณแห่งอาณาจักรโรมัน แอฟริกา เลปติสเมกนา อิสระให้ท่านได้เก็บภาพสวยงามได้ตามอัธยาศัย |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองตริโปลี (Tripoli) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของลิเบีย บางครั้งจะเรียกว่าตริโปลีตะวันตก เพื่อให้ต่างจากตริโปลีในเลบานอน ตริโปลีก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 7โดยชาวฟินีเซียนซึ่งตั้งชื่อให้แก่ลิบิโก - เบอร์เบอร์ว่า Oyat ก่อนที่จะตกอยู่ในมือของผู้ปกครองชาวกรีกของ Cyrenaica เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองจึงมีสถานที่สำคัญทางโบราณคดีหลายแห่งในตริโปลี นำท่านเที่ยวชมเมืองตริโปลีในเขตเมืองสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 20 ซึ่งได้อิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนนำท่านเที่ยวชมเมืองและเก็บภาพความสวยงามของเมืองตริโปลี จากนั้นนำท่านชมสุสานแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 (Tripoli’s II WW Cemetery) ซึ่งภายในบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์โบราณ จากนั้นนำท่านเที่ยวชมเมืองตริโปลี ในเขตเมืองใหม่ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร |
ที่พัก | Radisson Blu Hotel Tripoli **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 4 | ตริโปลี - ตูนีเซีย |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเที่ยวชมเขตเมืองเก่าเมดินา (Medina) แห่งตริโปลี อันเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Funduq al Zahar ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นย่านการค้าในอดีตแห่งเมืองตริโปลี จากนั้นนำท่านชมหอนาฬิกาโบราณ (Clock Tower) และอาคารสถาปัตยกรรมโบราณสไตล์ออตโตมัน, ประตูชัยมาคัส ออเรเรียส (Arch of Marcus Aurelius), สุเหร่าโบราณ รวมถึงตลาดซุก อันเป็นที่จับจ่ายซื้อของ ของชาวลิเบีย จากนั้นนำท่านชมโบสถ์ซานตามาเรีย โบสถ์ศาสนาคริสต์ที่สร้างขึ้นใสมัยศควรรษที่ 18 |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
14.00 น. | นำท่านเดินทางสู่สนามบินมิติกา เพื่อเชคอิน |
17.00 น. | ออกเดินทางสู่สนามบินตูนิส โดยเที่ยวบิน LY820 (ใช้เวลาบิน 1.10 ช.ม.) |
18.10 น. | เดินทางถึง สนามบินตูนิส นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม |
ที่พัก | Hôtel Royal ASBU Tunis **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | ไครูอาน – เอลเจม – แมทมาทา |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองไครูอาน (Kairouan) หรือคาร(ระยะทางประมาณ 166 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.15 ชม.) เป็นอดีตเมืองหลวง ของแม็กห์เร็บ เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมอิสลามที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เป็นเมืองที่ก่อตั้งโดยชาวอาหรับราวปี ค.ศ.670 ในรัชสมัยของพระเจ้ากาหลิบ มูวิยา และได้กลายเป็นศูนย์กลางในการสอนศาสนา อิสลามและคัมภีร์ กุรอาน เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ ลำดับที่ 4 รองจากเมือง เม็กกะ, เมืองเมดิน่า และเมืองคูฟา และเมืองไครวน ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองแห่ง 50 มัสยิด มีสำคัญทางศาสนในแถบอัฟริกาเหนือ และยังเป็นศูนย์กลางของพรมทอที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในตูนีเซีย มีเอกลักษณ์ในเรื่องศิลปะการใช้เรขาคณิตเบอร์บอร์ในการออกแบบพรมที่มีความเป็นเลิศ และได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับช่างทอพรมของเมืองเป็นอย่างมาก นำท่านชมสุเหร่าใหญ่ (The Great Mosque) หรือ สุเหร่าซิดี อักบาร์ (Mosque of Sidi Okba) สุเหร่าขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปแอฟริกาเหนือ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานสร้างโดยการใช้หินจากวิหารของโรมัน และโบสถ์ไบเซนไทน์ โดยภายในแบ่งออกเป็นส่วนๆ อาทิ ห้องสวดมนต์ ห้องเก็บน้ำ หอคอยที่มีอายุมากกว่าพันปี อีกทั้งยังมีลานกว้างเกือบเท่าสนามฟุตบอล ชมสุเหร่า ชิดี ซาฮาบ (Mosque of the Barber) ที่ฝังศพของ อาบู ชัมมาเอล บาลาวี ผู้ติดตาม นปีโมฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม ซึ่งถูกสังหารในสงครามนอกเมืองไครูอาน เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บเส้นเครา 3 เส้นของ พระนบีโมฮัมหมัด ซึ่ง อาบู ชัมมา เอล บาลาวี เก็บติดตัวไว้ตลอดเวลาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการจารึกแสวงบุญของชาวมุสลิม |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมือง เอล เยม (El Jem) (ระยะทางประมาณ 70 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) เมืองเล็กๆทางตะวันออกของประเทศ อดีตเมืองโรมันหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในทวีปแอฟริกาต่อจากคาร์เธจ นำท่านเข้าชมโคลอสเซียม Amphitheatre ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 230 หรือกลางศตวรรษที่ 3 โคลอสเซี่ยมที่ใหญ่โตพอๆ กับโคลอสเซี่ยมใน กรุงโรม มีความกว้าง 122 เมตร ยาว 148 เมตร สูง 35 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ถึง 35,000 คน ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1979 ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมือง แมทมาทา (Matmata) (ระยะทางประมาณ 277 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.15 ชม.) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม |
ที่พัก | Sun Palm Hotel or Trait-d union Matmata**** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 6 | แมทมาทา – สฟักซ์ – โมนาสเตียร์ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านชมเมืองแมทมาทา เมืองขนาดเล็กที่มีชาวเบอร์เบอร์อาศัยอยู่บางส่วนในถิ่นที่อยู่อาศัยโครงสร้างใต้ดินแบบดั้งเดิม (Troglodyte) คือการขุดหลุมขนาดใหญ่เป็นปล่องลึกลงไปในพื้นดินและหินราว 5 – 10 เมตร จนเกิดเป็นลานกว้าง จากนั้นขุดเจาะตามแนวกำแพงปล่องเป็นโพรงถ้ำเพื่อใช้เป็นห้องพัก และห้องต่างๆ โดยมีทางเดินแคบๆ เชื่อมต่อกัน มีบันไดทอดเทียบเพื่อลงไปสู่ลานบ้านหลุม นำท่านชม เมืองแมทมาทา เมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องผู้คนสร้างบ้านลงไปใต้ดิน หรือ บ้านหลุม (Troglodte house) และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ STAR WAR ภาค 1 โดยใช้โรงแรมเป็นฉากที่อยู่ของอนาคิน สกายวอคเกอร์ ลักษณะพิเศษของเมืองนี้คือการสร้างที่อยู่ใต้พื้นดิน พวกเบอร์เบอร์ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองจะขุดหลุมลึกลงไปเป็นปล่องโล่งตรงกลาง แล้วเจาะห้องเป็นที่อยู่อาศัย |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองสฟักซ์ (Sfax) (ระยะทางประมาณ 216 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.) สฟักซ์ หรือ เศาะฟากิส เป็นเมืองท่าทางทะเล บนฝั่งด้านเหนือของอ่าวกาแบ็ส ส่งแร่ฟอสเฟต ผลไม้ ฟองน้ำ และน้ำมันมะกอกเป็นสินค้าออก เมืองก่อตั้งในปี ค.ศ. 849 ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พวกนอร์มันเข้ายึดครอง ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ตกเป็นของสเปน ต่อมากลายเป็นที่มั่นของโจรสลัด ฝรั่งเศสเข้าโจมตีใน ค.ศ. 1881 และเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง นำท่านเที่ยวถ่ายรูปกับกำแพงเมืองเก่า (Medina Sfax) สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นกำแพงเข้าสู่เมือง รู้จักในนาม Bab Diwan และยังคงสมบูรณ์ตั้งตะหง่านจนปัจจุบัน จากนั้นนำท่านเดินเล่นในเมืองสฟักซ์ ซึ่งนับเป็นเมืองเก่าอีกแห่งของตูนีเซีย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองโมนาสตีร์ (Monastri) (ระยะทางประมาณ 134 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) หรือที่รู้จักกันในนามมีสตีร์ เมืองบนชายฝั่งตอนกลางของตูนิเซีย ซึ่งเดิมเป็นท่าเรือประมง ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ชมป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดและสำคัญที่สุดที่สร้างขึ้นโดยชาวอาหรับตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเมืองโมนาสตีร์ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม |
ที่พัก | Sun Palm Hotel or Trait-d union Matmata**** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 7 | โมนาสเตียร์ – คาร์เธจ – ซิดิบูร์ไซด์ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่เมืองคาร์เธจ (Carthage) (ระยะทางประมาณ 134 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) นครคาร์เธจโบราณ (Carthage) มีที่ตั้งในบริเวณเมืองตูนิส ประเทศตูนีเซียในปัจจุบัน ก่อตั้งในปีที่ 814 ก่อนคริสตกาล โดยในตอนแรกเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของชาวฟินีเชียที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไทร์ (ประเทศเลบานอนในปัจจุบัน) ชาวคาร์เธจมีความชำนาญด้านการค้า มีสินค้าส่งออกอย่าง แร่เงิน ดีบุก และทองแดง และด้วยทำเลที่ตั้งที่ดีจึงทำให้คาร์เธจเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว จนในราวปี 650 ก่อนคริสตกาลได้แยกออกมาเป็นอาณาจักรอิสระ การค้าขายของคาร์เธจเจริญสุดขีดในราวกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โดยได้ทำการค้าขายกับโรมัน ตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เมืองไทร์ และยังสามารถเดินเรือค้าขายไปได้ถึงเกาะอังกฤษ ส่วนด้านการทหาร พวกเขาขยายดินแดนทั้งในฝั่งตะวันตกของเกาะซิซิลี เกาะซาดิเนีย เกาะบาเลอาริค และทางตอนใต้ของสเปน การปกครองของคาร์เธจเริ่มเข้าสู่ขาลงในราวปี 480 ก่อนคริสตกาล เนื่องจากกษัตริย์ที่อ่อนแอ จนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐในปี 308 ก่อนคริศตกาล หลังจากนั้นก็มีสงครามอีกหลายครั้ง ทำให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ครั้งที่สำคัญคือสงครามพิวนิคทั้งสามครั้งกับชาวโรมัน ซึ่งครั้งสุดท้ายส่งผลให้คาร์เธจถึงขึ้นล่มสลายลงในที่สุด นำท่านชมเมืองโบราณที่เหลือร่องรอยค่อนข้างน้อยเนื่องจากถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ได้เวลานำท่านเดินทางสู่กรุงตูนิส |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารไทย |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ชมซิดิ บู ซาอิด(Sidi Bou Said) หมู่บ้านสีฟ้าขาว ท่านสามารถเดินสำรวจหมู่บ้านผ่านไปตามถนนที่ปูลาดด้วยหินก้อนโตลัดเลาะขึ้นสู่จุดชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามของทะเลสีมรกตและชายหาดทางตอนใต้ของอ่าวตูนิส เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ทางตอนเหนือของประเทศตูนิเซีย โดยเมืองแห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็น เมืองที่โรแมนติกที่สุดในประเทศตูนีเซีย เป็นย่านท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่ทำให้เมืองตูนิสเป็นที่รู้จักก้องโลกว่า ดินแดงสวรรค์แห่งเมืองฟ้าขาว มีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลและอารยธรรมแบบแขกมัวร์ |
16.00 น. | นำท่านเชคอินสนามบินตูนิส อิสระอาหารค่ำตามอัธยาศัยในสนามบิน |
19.15 น. | ออกเดินทางจากสนามบินตูนิส สู่สนามบินแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย โดยเที่ยวบิน AH4003 ใช้เวลาบิน 1.20 ช.ม. |
20.35 น. | เดินทางถึงสนามบินแอลเจียร์ นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร |
ที่พัก | Belvedere Hotel / M Zab Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 8 | แอลเจียร์ – เมืองมรดกโลกคาชบาห์ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเที่ยวชม เมืองแอลเจียร์ (Algiers) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแอลจีเรีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคมาเกร็บ นำท่านเดินทางสู่มหาวิหารนอร์ทเธอดาม (Basilique Nortre Dame d Frique) เป็นมหาวิหารคาทอลิกที่สำคัญมากในเมืองแอลเจียร์ สร้างขึ้นในปี 1846 – 1866 ในศิลปะแบบไบเซนไทล์ และเชื่อว่าเป็นมหาวิหารที่สร้างรับกับมหาวิหารนอร์ทเธอดาม เดอลาการ์ด ที่ตั้งอยู่ในเมืองมาร์กเซย์อีกด้วย นำท่านเดินทางสู่ อนุสาวรีย์ Memorial du Martyr สร้างขึ้นในปี 1982 เพื่อเฉลิมฉลองการได้เอกราชครบ 20 ปีของแอลจีเรียจากฝรั่งเศส รูปทรงคล้ายใบปาล์มสามใบครอบเปลวเพลิงไว้ โดยแต่ละด้านจะมีรูปปั้นของทหารผู้เสียสละในการต่อสู่เพื่ออิสรภาพของประเทศแอลจีเรีย อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาทำให้สามารถมองเห็นวิวเมืองแอลเจียร์ได้จากมุมสูง นับเป็นอีกจุดชมวิวที่สวยแห่งหนึ่งของเมือง บรรยากาศของจัตุรัสกลางเมืองเก่า Martyr’s Square ซึ่งรายล้อมไปด้วยอาคารสถาปัตกรรมที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส นำท่านเข้าชม พระราชวังเรส (Palais of Rais) หรือ Bastion 23 ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของแอลจีเรีย ภายในประกอบด้วยพระราชวัง 3 หลัง และบ้านอีก 6 หลัง ตกแต่งสวยงาม พระราชวังหลักตกแต่งด้วยกระเบื้องสีฟ้าขาว ส่วนอีกหลัง โทนสีน้ำตาลเหลือง ภายนอกดูเหมือนเป็นวังรูปแบบธรรมดา แต่ภายในเรียกได้ว่าตกแต่งได้อย่างสวยงามตระการตายิ่ง พระราชวังนี้สร้างขึ้นในปี 1576 ทางตอนล่างของเมืองคาชบาห์ (Lower Cashbah) ในปี 1909 พระราชวังแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าในรูปแบบบ้านสไตล์มัวริช |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านชมเมืองคาชบาห์ (Casbah) ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1991 เมืองนี้ได้รับการอนุรักษ์และสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างเมืองศูนย์กลางมาเกร็บขึ้น โดยลักษณะโดดเด่นในการวางผังเมืองที่ทางตะวันตกจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเข้ามาในโซนซับซาฮารา (Sub Sahara Africa) สันนิษฐานว่าโซนติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นเดิมมีชาวฟินิเซียนได้เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล และมีการสร้างกำแพงล้อมรอบในช่วงที่ออตโตมันเข้ามาครองอำนาจในช่วงศตวรรษที่ 16 นับเป็นเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่ง จากนั้นนำท่านชม Ketchaoua Mosque เป็นมัสยิดที่สร้างขึ้นสมัยออตโตมันเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้ ซึ่งมัสยิดแห่งนี้มีความพิเศษตรงที่ เป็นจุดศูนย์กลางที่นำไปสู่ประตูทั้งห้าของเมือง สมควรแก่เวลานำท่านแวะถ่ายรูปกับอาคารไปรษณีย์กลางแห่งแอลเจียร์ (La Grade Post d Alger) ซึ่งเป็นที่ทำการไปรษณีย์กลางของแอลเจียร์ เป็นอาคารสวยงามที่สร้างขึ้นในปี 1910 และตั้งอยู่ในแหล่งย่านคาเฟ่ และ ถนนช้อปปิ้งแห่งกรุงแอลเจียร์ นำท่านชมและเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศ บนถนนช้อปปิ้งและย่านคาเฟ่กรุงแอลเจียร์ |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ในโรงแรม |
ที่พัก | Belvedere Hotel / M Zab Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 9 | แอลเจียร์ – เบนี ฮัมหมัด – มรดกโลกอัล ควอลา เบนี ฮัมหมัด |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่เมืองบุยรา (Bouira) (ระยะทาง 90 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองทางตอนเหนือกลางของแอลจีเรีย เมืองบุยราตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตภูเขา Great Kabylie ใกล้กับต้นน้ำของ Isser และ Soummam wadis แนวเทือกเขาแอตลาส เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพทิวเขาสวยงามเมื่อเทียบกับเมืองตอนกลางในเขตทะเลทราบซาฮารา เป็นเมืองผ่านที่จะนำท่านสู่ เมืองเบนี ฮัมหมัด |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองเบนี ฮัมหมัด (Beni Hammad) (ระยะทาง 165 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) นำท่านชมป้อมปราการเบนี ฮัมหมัด หรือ อัลคาราเบนี ฮัมหมัด (Al Qala of Beni Hammad) ในอดีตเป็นป้อมปราการล้อมรอบเมืองหลวงแห่งแรกของราชวงศ์ฮัมมาดิด สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาฮอดนา ในระดับความสูง 1,418 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เมืองนี้มีแนวกำแพงยาว 7 กิโลเมตร (4 ไมล์) ภายในกำแพงมีอาคารพักอาศัยสี่หลัง และมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในแอลจีเรียรองจากมันซูราห์ มีการออกแบบคล้ายกับมัสยิดใหญ่แห่ง Kairouanโดยมีหอคอยสุเหร่าสูง 20 เมตร และในปี 1980 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ได้เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองเซติฟ (Setif) (ระยะทาง 110 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชั่วโมง) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม |
ที่พัก | Best Western Hotel Setif **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 10 | เซติฟ – เจมีลา – บัตนา – ทิมกาด |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์เซติฟ (Setif Museum) พิพิธภัณฑ์ที่จัดเก็บและจัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่าที่ได้จากการขุดค้นพบในเมืองโบราณเจมีลา (Djemila) ไม่ว่าจะเป็นงานโมเสค หรือ รูปปั้นต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ในยุคโบราณ และอีกมากมาย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองเจมีลา (Djemila) (ระยะทาง 53 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนที่สูง 900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดดเด่นด้วยลักษณะการออกแบบและการวางผังเมืองของโรมันในสภาพแวดล้อมแบบภูเขาสูง เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองโรมันโบราณที่สมบูรณ์ที่สุดในแอลจีเรีย เดิมเมืองนี้คือ “เมืองซีคูล” (Cuicul) สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 1 สมัยจักรพรรดิเนอร์วา เดิมบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักค้างแรมของกองทหาร แต่เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์จึงเริ่มมีการเพาะปลูก และมีคนมาอาศัยมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2 จนกลายเป็นเมือง และรุ่งเรืองสุงสุดในช่วงศตวรรษที่ 4 มีการสร้างอาคารแบบโรมัน ทั้งโบสถ์ วิหาร ประตูชัย และ แอมฟิเธียร์เตอร์ เมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี 1980 นำท่านเข้าชมความยิ่งใหญ่ของเมืองโรมันโบราณแห่งแอลจีเรีย |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองทิมกาด (Timgad) ระยะทาง 170 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง นำท่านชมเมืองโบราณทิมกาด อาณาจักรโบราณหนึ่งในอาณานิคมของโรมัน ตั้งอยู่ในเทือกเขา Aurès ณ ประเทศแอลจีเรีย เป็นเมืองเก่าแก่ที่เคยรุ่งเรืองมากในสมัย2,000 ปีที่แล้ว โดยเมืองมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้อยู่อาศัยกว่า 15,000 คน และเมืองนี้ยังเป็นหนึ่งในต้นแบบการวางผังเมืองแบบตารางอีกด้วย ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1980 เมืองโบราณทิมกาดยังมีซากปรักหักพังที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรสมัยก่อนไว้มากมาย ซึ่งเมืองทิมกาดก่อตั้งโดยจักพรรดิทราจัน (จักรพรรดิไตรยานุส) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ดีและเก่งกาจทั้งด้านการปกครองและด้านการทหารของโรมัน โดยเจตนาแรกต้องการสร้างเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันชนเผ่าเบอร์เบอร์ พลเมืองส่วนใหญ่ก็คือทหารที่ได้รับรางวัลจากการผ่านศึกนั่นเอง และผังเมืองนี้เป็นรูปทรงจัตุรัสมีความยาว 355 เมตรในทุกด้าน แต่ต่อมาประชากรได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงได้แผ่ขยายเมืองเพิ่มเติมไป 4 เท่า แต่ยังคงรูปทรงจัตุรัสไว้ ได้เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองบัตนา (Batna) (ระยะทาง 45 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
ที่พัก | Trajan Hotel *** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 11 | บัตนา – กงส์ต็องตีน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่กรุงกงส์ต็องตีน (Constantine) (ระยะทาง 114 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 .15 ช.ม.) เมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปแอฟริกา มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากกรุงแอลเจียร์และเมืองออราน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ-ตะวันออกของประเทศ สร้างขึ้นโดยชาวอาหรับ เมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว มีลักษณะเป็นเมืองป้อมปราการบนโขดหินสูงกว่า 240 เมตร เหนือหุบเขาลำน้ำเบื้องล่าง มีกำแพงและประตูเมืองสร้างในสมัยกลาง รวมทั้งซากเมืองโรมันในบริเวณใกล้เคียง กงส์ตองตินเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ นูมิเดียเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาจักรพรรดิคอนสแตนติน มหาราชจักรพรรดิของโรมันได้บูรณะขึ้นใหม่ในปีคริสต์ศักราช 313 ต่อมาฝรั่งเศสยึดครองไว้ในปีคริสต์ศักราช 1837 นำท่านชมสะพานทางเดิน เมลล่า สลิมาเนห์ (Footbridge of Mellah Slimane) เดินข้ามช่องแคบที่ดูน่าหวาดเสียวและตื่นเต้น ซึ่งท่านจะได้เห็นทิวทัศน์ของโตรกผาและบ้านที่สร้างอยู่ในหุบเขา ในเวลาเดียวกันท่านจะสามารถมองเห็นสะพาน Bab El Kantara อันเก่าแก่ และสะพาน Sidi Rached Viaduct อันสง่างามจากจุดชมวิวบนสะพาน |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเซอร์ตาร์ (National Museum of Cirta) ที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่มีค่ากว่า 7,000 ชิ้น ทั้งภาพเขียน และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์, สมัยโรมัน, ยุคพูนิค, ยุคอิสลาม และยุคอาณานิคมฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1931 ภายใต้ชื่อ “Gustave Mercier Museum” (ซึ่งตั้งชื่อตามเลขาธิการทั่วไปของสมาคมโบราณคดี) จนวันที่ 5 กรกฎาคม 1975 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Cirta ซึ่งเป็นชื่อโบราณของเมืองกงส์ต็องติน และในปี 1986 ได้รับการยกระดับเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และเปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เซอร์ตาร์ จากนั้นนำท่านเข้าชมพระราชวังอาเหมด เบย์ (The Museum & Palace of Ahmed Bey) ผู้ปกครองออตโตมันคนสุดท้ายของกงส์ต็องตินจาก ค.ศ. 1826 ถึง ค.ศ. 1848 เป็นหนึ่งในอาคารยุคออตโตมันที่ดีที่สุดในแอลจีเรีย เป็นอาคารขนาดใหญ่ และสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก่อนถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสในช่วงยุคล่าอาณานิคม และใช้เป็นโรงพยาบาลสำหรับกองทหารฝรั่งเศส |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
ที่พัก | Protea Constantine Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 12 | กงส์ต็องตีน – อิสตันบูล |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านชมสะพานแขวน ซิดี เอ็มซิด (Sidi M’Cid Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่สูงที่สุดในโลก มีความสูง 175 เมตร ยาว 164 เมตร ข้ามแม่น้ำ Rhummel ในเมืองกงส์ต็องติน เปิดใช้งานในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 1912 จนถึงปีค.ศ. 1929 สะพานนี้ถูกออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส Ferdinand Arnodin เพื่อเชื่อมโยง Casbah ไปยังเนินเขา Sidi M’Cid สะพานดังกล่าวได้รับการบูรณะในปีค.ศ. 2000 |
11.00 น. | นำท่านเดินทางสู่สนามบินกงส์ต็องตีน เพื่อเชคอิน |
13.50 น. | ออกเดินทางสู่กรุงอิสตันบูล โดยเที่ยวบินที่ TK1412 (ใช้เวลาบินประมาณ 3.10 ชั่วโมง) สายการบินบริการอาหาร เครื่องดื่ม และพักผ่อนบนเครื่องบิน |
19.05 น. | เดินทางมาถึงนครอิสตันบูล แวะเปลี่ยนเครื่อง |
20.40 น. | ออกเดินทางสู่ประเทศไทย โดยเที่ยวบินที่ TK64 (ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมง) สายการบินมีบริการอาหารค่ำและอาหารเช้า บนเครื่องบิน |
วันที่ 13 | อิสตันบูล - กรุงเทพมหานคร |
10.20 น. | เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) |