วันที่ 1 | กรุงเทพมหานคร |
19.30 น. | คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส ณ สนามบินสุวรรณภูมิ |
22.45 น. | ออกเดินทางสู่ อิสตันบูล (IST) ประเทศตุรกี โดย สายการบินเตอร์กิชแอร์ ไลน์ส เที่ยวบินที่ TK69 (ใช้เวลาบินประมาณ 10.20 ชม.) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และสายการบินฯ มีบริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า ให้บริการ |
วันที่ 2 | อิสตันบูล – ไคเซรี่ - คัปปาโดเกีย – พักโรงแรมถ้ำ 2 คืน |
05.45 น. | เดินทางถึง กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อขึ้นเที่ยวบินสู่เมืองไคเซรี่ (Kayseri) |
06.35 น. | ออกเดินทางสู่ สนามบินเมืองไคเซรี่ (ASR) โดย สายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ TK2010 มีบริการอาหารว่างบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 1.25 ชม.) |
08.05 น. | เดินทางถึงสนามบินเมืองไคเซรี่ (ASR) นำท่านเดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) (ระยะทาง 80 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ขม.) เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของประเทศตุรกีที่นักท่องเที่ยวเลือกที่จะไปเยี่ยมเยือนมากเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากที่คัปปาโดเกีย (Cappadocia) นั้น เป็นสถานที่ตั้งของกิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศตุรกีอย่างการขึ้นบอลลูนยักษ์ (Hot Air Balloon) นั้นเอง |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | จากนั้นนำท่านเดินทางชม หุบเขาแห่งรัก (Love Valley) หุบเขาแห่งรัก เป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค Cappadocia ของประเทศตุรกี หุบเขาได้รับการตั้งชื่อตามรูปทรงหินที่แปลกตาซึ่งดูเหมือนปล่องไฟนางฟ้า หุบเขาเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการเดินป่าและปีนเขา และนักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินกับการขี่บอลลูนลมร้อน เพื่อชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของหุบเขาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและร้านกาแฟหลายแห่งในหุบเขา ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถหยุดพักและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ได้ และยังเป็นสถานที่ที่สวยงามและโรแมนติก เหมาะสำหรับการผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับธรรมชาติ หุบเขายังเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการขอแต่งงานและงานแต่งงาน |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารญี่ปุ่น |
ที่พัก | Exedra Hotel Cappadocia ***** หรือเทียบเท่า (คืนที่ 1) |
วันที่ 3 | คัปปาโดเกีย – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม – ชมโชว์ระบำหน้าท้อง |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านสัมผัสประสบการณ์พิเศษ เพื่อชม ความงามตอนพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยการนั่งรถโบราณ และรถคลาสสิควินเทจ กินลม ชมวิวแล้วยังเห็นบอลลูน ลอยเหนือทั่วท่องฟ้าอีกด้วย อิสระให้ท่านถ่ายรูปเก็บภาพวิวที่สวยงามของเมืองตามอธยาศัย นำท่านเดินทางชม เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหินและเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงามคัปปาโดเกีย(Cappadocia) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า“ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี เป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว เถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณ จนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมาจากนั้นกระแส น้ำ ลม ฝน แดด และหิมะกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆนับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่ง กรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรงดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ในปีค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองเกอเรเม่ (Goreme Open-air Museum) เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเผยแพร่ในคัปปาโดเกียผู้คนแถบนี้นับถือเทพเจ้ากรีก-โรมัน จนเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล”เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียแต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะไม่ให้การยอมรับทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียต้องหลบซ่อนการรังควานของโรมัน ด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์ เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา และได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำจำนวนมากกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 ชาวโรมันให้การยอมรับศาสนาคริสต์สำหรับโบสถ์ถ้ำในเกอเรเม่ ว่ากันว่ามีถึง 365 หลังด้วยกัน (สร้างตามจำนวนวันใน 1 ปี) แต่ปัจจุบันเปิดให้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้น จากนั้นนำท่านแวะชมโรงงานทอพรม อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปกับพรมหลากสี ได้เวลานำท่านเดินทางสู่โรงงานเซรามิค พร้อมจับจ่ายซื้อของฝากตามอัธยาศัย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น พร้อมชมโชว์ระบำหน้าท้องอันลือชื่อของตุรกีภายในภัตตาคารถ้ำ |
ที่พัก | Exedra Hotel Cappadocia ***** หรือเทียบเท่า (คืนที่ 2) |
วันที่ 4 | คัปปาโดเกีย – อดานา |
หมายเหตุ | ในกรณีที่ท่านต้องการขึ้นบอลลูนซึ่งจัดเป็น Optional Tour ท่านสามารถเลือกซื้อได้เอง ราคาประมาณ 280-300 USD แต่ประกันการเดินทางที่บริษัททำให้ ไม่ครอบคลุมการขึ้นบอลลูนและเครื่องร่อนทุกชนิด ดังนั้นการซื้อ Optional Tour นี้ ขึ้นกับดุลยพินิจของท่าน ซึ่งเป็นส่วนนอกเหนือจากโปรแกรมที่บริษัทจัด ดังนั้นหากเกิดมีปัญหาบอลลูนขึ้นไม่ได้หรือปัญหาอื่นๆ ท่านต้องติดต่อกับทาง supplier ในส่วนบอลลูนเอง |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองอดานา (Adana) (ระยะทาง 265 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.15 ชม.) หนึ่งในเมืองสำคัญทางตอนใต้ของประเทศตุรกี และเป็นศูนย์กลางการค้าและกสิกรรมที่สำคัญ ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนราว 35 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 5 ของประเทศตุรกี |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านแวะถ่ายรูปกับ สะพานหิน (Stone Bridge) ก่อสร้างตั้งแต่ยุคโรมัน ราว 120-135 ปีก่อนคริสตกาล สะพานแห่งนี้เป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางลำเลียงสินค้าระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังดินแดนอนาโตเลีย และเปอร์เซีย เป็นหนึ่งในสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่สามารถให้ยานยนต์แล่นผ่านได้ จวบจนยกเลิกให้เป็นทางเท้าเท่านั้นในปี ค.ศ.2007 เป็นต้นมา ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง มีความยาวทั้งสิ้นราว 300 เมตร จากนั้นนำท่านเดินทางชม สุเหร่า Sebanci Central Mosque สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1998 ใช้เวลาก่อสร้างราว 10 ปี ปัจจุบันเป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศตุรกี ด้วยความสูงของโดม 54 เมตร และความสูงของหอคอย Minaret ที่ 99 เมตร บนเนื้อที่กว่า 52,600 ตารางเมตร สามารถให้ศาสนิกชนร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ราว 28,500 คน |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Anemon Grand Adana Otel ***** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | อดานา - กาเซียนเทป - พิพิธภัณฑ์ซุกม่า โมเสก – ซานลีอูร์ฟา – ถ้ำแห่งอับราฮัม - บ่อปลาศักดิ์สิทธิ์ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองกาเซียนเทป (Gaziantep) (ระยะทาง 228 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.40 ชม.) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกีในเขตอนาโตเลีย เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีประชากรตั้งรกรากอาศัยอยู่ โดยมีชื่อเมืองในอดีตว่า แอนเทป (Antep) ในยุคออตโตมัน ซึ่งมีสมมติฐานหลากหลายถึงที่มาของชื่อเมืองโบราณแห่งนี้ และหนึ่งในนั้นเป็นรากศัพท์ภาษาฮีไทด์ ซึ่งแปลว่า ดินแดนแห่งกษัตริย์ (The King’s land) ในปี ค.ศ.1921 รัฐสภาตุรกีได้ประกาศยกย่องเมืองกาเซียนเทปให้เป็น “แอนเทป วีรบุรุษทางสงคราม” ด้วยเหตุที่สามารถต่อกรกับกองกำลังฝรั่งเศสในสงครามฟรังโก้-เตอร์กิช ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามก่อนที่ตุรกีจะได้ประกาศตนเป็นอิสรภาพ ซึ่งต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นกาเซียนเทป เมื่อปี ค.ศ.1928 นำท่านดินทางเข้าชม พิพิธภัณฑ์ซุกม่า โมเสก (Zeugma Mosaic Museum) พิพิธภัณฑ์โมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนเนื้อที่พิพิธภัณฑ์จัดแสดงกว่า 90,000 ตารางเมตร เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2011 คอลเลคชั่นพิพิธภัณฑ์ซุกม่าโมเสกประกอบด้วยกระเบื้องโมเสก 2,448 ตารางเมตร จากสมัยโรมันและปลายยุคโบราณ จิตรกรรมฝาผนังกว่า 140 ตารางเมตร ประกอบทั้งโบราณวัตถุมากมายที่จัดแสดงในสถานที่แห่งนี้ และจัดแสดงชิ้นงานโมเสกที่สวยงามอย่างสมบูรณ์แบบและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก คือภาพชื่อ ยิปซี ความน่าสนใจกับผลงานยิปซีคือ เมื่อสบตาสาวยิปซีเธอจะมองตามเราไปตลอดไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวไปในทิศใด ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์ทางด้านศิลปะโบราณที่เป็นแบบอย่างให้งานศิลปะสมัยใหม่ จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ย่านตลาดขายสินค้าพื้นเมือง (Gaziantep Buyuksehir Belediyesi และ Copper Bazaar) ตลาดแห่งนี้มีสิ้นค้าพื้นเมืองขึ้นชื่อโดยเฉพาะที่โดดเด่นคือ ภาชนะต่าง ๆ ที่ทำมาจากดีบุก ทองแดง เครื่องเงิน แล้วนำมาแกะสลักลวดลาย ย้อนยุคกับ “Han” ที่พักแรมของกองคาราวานค้าขายในเส้นทางสายไหมตั้งแต่โบราณ สินค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศ และส่งออกสู่ประเทศที่อยู่ในกลุ่มตะวันออกกลาง อิสระให้ท่านเลือกซื้อสิ้นค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองซานลีอูร์ฟา (Sanliurfa) (ระยะทาง 152 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.45 ชม.) หรือชื่อเรียกพื้นเมืองคือ เมืองอูร์ฟา (Urfa) หรือในอดีตเรียก อิเดสซ่า (Edessa) ตั้งอยู่บริเวณที่ราบ ห่างจากแม่น้ำ ยูฟราเตส (Euphrates River) ราว 80 กิโลเมตร เป็นหนี่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ก่อตั้งเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาลตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดก่อนหน้านั้น โดยย้อนไปถึงราว 9000 ปีก่อนคริสตกาล เมืองอูร์ฟาเป็นเมืองบ้านเกิดของ อับราฮัม หรือ อับราม ศาสดาผู้มีความสำคัญทางศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ตามพระคัมภีร์ เป็นเมืองแรกที่ให้อิสระแก่ประชากรในการเลือกนับถือศาสนา โดยวิหารของแต่ละศาสนาแห่งหนึ่งๆจะถูกแปรเปลี่ยนไปตามการนับถือไปตามยุคสมัย ตั้งแต่ยูดาห์ คริศต์ และเป็นสุเหร่าตามความนับถือของประชากรในปัจจุบันในอดีตเมืองซานลิอุรฟา ถูกปกครองมาหลายอาณาจักร และสุดท้ายปกครองด้วยอาณาจักรไบเซนไทล์ (Byzantines) จึงทำให้มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ศาสนาคริสต์และอิสลามถือว่า เมืองซานลิอุรฟา เป็นเมืองสำคัญทางศาสนา เป็นอันดับ 4 รองมาจาก เมกกะ เมดิน่า และเยรูซาเลม ตามบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล Bible และกุรอาน Qur'an นำท่านเดินทางชม ถ้ำแห่งอับราฮัม (Cave of Abraham) ตามความเชื่อของชาวมุสลิม กล่าวไว้ว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นที่เกิดของท่านศาสดาอับราฮัมในเมืองอูร์ฟาเป็นสถานที่แสวงบุญที่มีชื่อเสียงในหมู่ศาสนิกชน ที่มาสวดภาวนาและแสดงความเคารพต่อศาสดาที่มีความศรัทธาให้ เชื่อกันว่าศาสดาอับราฮัมเกิดในถ้ำแห่งนี้ และใช้เวลากว่าสิบปีในช่วงหนึ่งของชีวิตเพื่อปกป้องทารกแรกเกิดที่ถูกสั่งฆ่าโดยคำสั่งของกษัตริย์อนิมรอทผู้โหดร้าย จากนั้นนำท่านเดินทางชมบ่อปลาศักดิ์สิทธิ์ (The pool of Sacred fish) หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองอูร์ฟา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งกษัตริย์นิมรอทได้โยนศาสดาอับราฮัมลงสู่กองฟืนที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง แต่กองไฟเหล่านั้นกลับเปลี่ยนเป็นสายน้ำ และกองฟืนได้เปลี่ยนกลายเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันบ่อน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟ ซึ่งเชื่อกันว่าหากผู้ใดได้เห็นปลาคาร์ฟสีขาวจะนำมาซึ่งมงคลแก่ชีวิต |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Double Tree by Hilton (Sanliurfa)***** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 6 | ซานลีอูร์ฟา – ฮาราน – หมู่บ้านรวงผึ้ง – อดิยามาน - ภูเขาเนมรุต |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองฮาราน (Harran) (ระยะทาง 49 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) เมืองโบราณซึ่งมีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ บริเวณดินแดนเมโซโปเตเมียตอนบน ทั้งในแง่ของการพาณิชย์ วัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนาในช่วงยุคทองสำริด หรือประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นดินแดนของแอสซีเรียน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย วัฒนธรรมและศาสนา เมืองนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่า เป็นเมืองที่อับราอัมได้มาอาศัยอยู่ และบิดาคือเทราห์ก็ได้เสียชีวิตที่เมืองฮารานแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางสู่ เมืองคานะอัน (Canaan) ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และ ศาสดาทั้งสาม คือ โมเสส เจซัส และ โมฮัมหมัด ก็ได้เคยมาพักอาศัยที่เมืองนี้ด้วย นำท่านเดินทางชมหมู่บ้านรวงผึ้ง (The Beehive Village) หมู่บ้านที่สร้างขึ้นอยู่ท่ามกลางพื้นที่ราบและมีอากาศร้อนจัดในหน้าร้อนหนาว มีหลังคาทรงโคนขึ้นด้วยหินลักษณะคล้ายคลึงกับรวงผึ้ง ตัวโครงบ้านสร้างขึ้นจากดินโคลน ขึ้นโครงด้วยเสา และพอกด้วยมูลวัว บ้างอาจมีการเจาะรูเพื่อเป็นช่องระบายอากาศเพื่อให้มีอากาศไหลเวียนถ่ายเทเข้าตัวบ้าน เชื่อกันว่าการสร้างบ้านลักษณะนี้เป็นอิทธิพลจากชนม์เผ่า Bantu ซึ่งมีรกรากออยู่บริเวณระหว่างทะเลทรายซาฮาร่าและทวีปแอฟริกา ได้เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองอดิยามาน (Adiyaman) (ระยะทาง 162 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.20 ชม.) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งก่อนมุ่งหน้าสู่ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) เป็นเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 8 โดยชาวอาหรับสายอุมัยยะฮ์ ปกครองต่อเนื่องโดยชาวไบเซนไทน์, ชาวเติร์กเซลจุค และราชวงศ์เติร์กเมน ตามลำดับ หลังจากชาวอาหรับ ดินแดนแห่งนี้ถูกรวมเข้ากับจักรวรรดิออตโตมัน เมื่อใกล้สิ้นศตวรรษที่ 14 ภายใต้สาธารณรัฐตุรกี เมืองนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น อาดิยามาน ในปี 1926 |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองเนมรุต (ระยะทาง 85 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.20 ชม.) นำท่านขึ้นภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) หรือภูเขาเทพเจ้า ภูเขาเนมรุตสูงอยู่ที่ระดับ 2,134 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกของเทือกเขาทอรัส ซึ่งบนยอดเขารายล้อมด้วยรูปปั้นหัวคนมากมาย ซึ่งคาดว่าเป็นสุสานกษัตริย์ตั้งแต่สมัยราว 100 ปีก่อนคริสตกาล โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า กษัตริย์ Antiochus ที่ 1 แห่งอาร์เมเนีย ได้มีคำสั่งให้สร้างสุสาน ซึ่งประกอบด้วยรูปปั้นจำลองของตน สูงราว 8-9 เมตร รูปปั้นสิงโตและนกอินทรีย์ เป็นคู่ๆ รวมไปถึงรูปปั้นเทพต่างๆตามตำนานกรีกและอาร์เมเนีย ซึ่งภายหลังถูกทำลายลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ส่วนหัวกับส่วนตัวถูกแยกออกจากกัน เรียงรายเป็นหย่อมๆล้อมรอบบริเวณภูเขาเนมรุต ภูเขาเนมรุตถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศตุรกีโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ.1987 ระหว่างเดินทางนำท่านเดินทางชม สุสานคาราคุส (Karakus) สุสานของราชินี Isias และเจ้าหญิง Antiochis และ Aka I แห่งโคมายานา สร้างในช่วงปี 30-20 ก่อนคริสตกาล โดยกษัตริย์คนที่สองแห่งโคมายานา โดยคำว่า Karakus มีความหมายว่า นกสีดำ โดยชื่อนี้ได้มาจาก นกอินทรีย์ที่อยู่ด้านบนของเสาและรูปสลักกษัตริย์แห่งโคมายานา จากนั้นนำท่านเดินทางชมสะพานเซเวอรัน (Severran Bridge / Cendere Bridge) สร้างประมาณปี ค.ศ.200 เพื่อถวายจักรพรรดิ Septimius Severus เป็นสะพานโรมันที่สร้างด้วยหินทั้งหมด 92 ก้อนๆ ละประมาณ 10 ตัน เป็นสะพานที่สร้างโดยชาวโรมันที่อาจจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง ยาว 120 เมตร กว้าง 7 เมตร ปัจจุบันยังคงอยู่สมบูรณ์แบบ จากนั้นนำท่านเดินทางชมเมืองโบราณอาร์เซเมีย (Archemia) ซึ่งเดิมรู้จักในนามของป้อมปราการ สร้างเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามารุกรานที่อยู่อาศัยภายในอุโมงค์ บริเวณนี้เคยได้รับการปกครองจาก อเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้โด่งดัง กรีฑาทัพจากกรีซผ่านเมืองต่างๆมาเรื่อยจนถึงเอเชียกลาง หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ดินแดนที่พระองค์เคยรวบรวมไว้ก็แตกออกเป็นเมืองต่างๆ แล้วก็ปกครองตนเอง รวมถึงอาณาจักรโคมานายาแห่งนี้ วัฒนธรรมของโคมานายา เป็นอารยธรรมแบบกรีกผสมรวมเข้ากับความเชื่อของคนพื้นเมือง โคมานายาเป็นเอกเทศอยู่ 200 ปี ก่อนจะถูกรวบรวมเข้ากับจักรวรรดิโรมันในเวลาต่อมา จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) เพื่อชมความสวยงามของพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่สำคัญส่วนหนึ่งของทริปนี้ “ภูเขาเนมรุต เป็นสถานที่ที่สวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่งสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น กับ พระอาทิตย์ตกดิน” บนจุดชมวิวบนยอกเขาที่มีหินยักษ์มากมาย อิสระให้ท่านได้เถ่ายภาพเก็บความประทับใจตามอัธยาศัย นำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก (ระยะทาง 49 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Nemrut Euphrat Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 7 | เนมรุต - ดียาร์บากีร์ – มาร์ดิน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองดิยาบากีร์ (Diyarbakir) (ระยะทาง 158 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.15 ชม.) เป็นเมืองหลังทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไทกริส เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอนาโตเลีย มีวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์ยังคงบรรยากาศในยุคกลางไว้ได้ครบถ้วน มีสินค้าพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ คือ เครื่องประดับ เครื่องเงิน ทองแดง เครื่องปั้นดินเผา ผ้าขนสัตว์ที่สำคัญที่สุด นำท่านเดินทางชม กำแพงเมืองดิยาบากีร์ (Diyarbakir City wall) ซึ่งในอดีตใช้เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองจากข้าศึก โดยกำแพงเมืองได้แบ่งเป็นสองชั้น สร้างขึ้นครั้งแรกราว 297 ปีก่อนคริสตกาลโดยชาวโรมันตามคำสั่งของจักรพรรดิคอนแสตนติอุสที่ 2 และถูกต่อเติมเรื่อยมา ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยหินภูเขาไฟ และครั้งหนึ่งถูกขนานนามโดยเหล่าแม่ทัพว่าเป็น ป้อมปราการดำ “The Black Fortress” ทำด้วยหินบะซอลท์สีดำ มีความยาวประมาณ 5.5 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในกำแพงเมืองโบราณยุคก่อนคริสตกาล ซึ่งยังคงถูกรักษาสภาพไว้ได้เป็นอย่างดีจวบจนถึงยุคปัจจุบัน กำแพงเมือง ดิยาบากีร์ครั้งหนึ่งถูกนำไปเทียบชั้นเป็นรองเพียงกำแพงเมืองจีนในแง่ของกำแพงป้องกันเมือง กำแพงเมืองนี้สร้างล้อมรอบเขตเมืองเก่าไว้ โดยมีประตูทางเข้า 4 ทาง มีหอคอย 82 หอคอย นอกจากนี้กำแพงเมืองดิยาบากีร์ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศตุรกีโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ.2015 จากนั้นนำท่านแวะถ่ายรูปกับสุเหร่าประจำเมืองดิยาบากีร์ (The Great Mosque of Diyabajir) หนึ่งในสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆของดินแดนเมโซโปเตเมีย สุเหร่าถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.639 และถูกใช้งานช่วงระยะเวลาหนึ่งเป็นโบสถ์แห่งนักบุญเซนต์จอห์น และภายหลังแปลงกลับเป็นสุเหร่าใน ปี ค.ศ. 1091 ซึ่งหลากหลายส่วนได้รับแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับสุเหร่าอุมันยะฮ์แห่งนครดามัสกัสของประเทศซีเรีย |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองมาร์ดิน (Mardin) (ระยะทาง 93 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) ตั้งอยู่บนที่ราบเมโสโปเตเมีย ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี เป็นเมืองโบราณเก่าแก่ที่สุดบนพื้นที่เมโสโปเตเมียตอนบน การขุดค้นโบราณสถานในเมืองนี้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1920 พบว่าซากเมืองมีอายุย้อนไปถึง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมแรกที่พบในพื้นที่นี้ คืออารยธรรมสุบาเรียน (Subarians) เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลและอารยธรรมอีลาไมต์ เมื่อประมาณ 2,230 ปีก่อนคริสตกาล ตามด้วยบาบิโลเนียน, ฮิตไทต์, อัสซีเรียน,โรมัน และไบแซนไทน์ มีสถาปัตยกรรมสร้างด้วยหินที่วางซ้อนตกแต่งอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างแท้จริงด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามหลากหลายชาติพันธุ์วิทยาสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีและมรดกทางประวัติศาสตร์ จากนั้นนำท่านเดินทางชมสุเหร่าอูลูแห่งเมืองมาร์ดิน (Mardin Grand Mosque / Ulu Mosque) ตัวอย่างสถาปัตยกรรมในยุคอาร์ทูคิดช่วงศตวรรษที่ 12 (ยุคที่ปกครองโดยราชวงศ์เติร์กเมนิสถาน) ตัวอาคารสร้างขึ้นด้วยหินเจียระนัย และโดมถูกสร้างด้วยการเป่าและเซาะร่อง แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักครั้งสงครามที่เกิดขึ้นจากชาวเคิร์ดช่วงปี ค.ศ.1832 ปัจจุบันได้รับการบูรณะบางส่วนให้คงสภาพดีเหมือนเดิม นำท่านเดินทางชมเมืองมาร์ดิน (Mardin) เป็นเมืองเก่าสวรรค์บนดิน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์โลก เมืองอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ UNESCO ซึ่งห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อรักษาส่วนหน้าอาคารไว้ นำท่านสู่จุดชมวิวพาโนรามาของเมืองมาร์ดิน อิสระให้ท่านได้ถ่ายภาพเก็บความประทับใจ ทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขา |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Ramada Plaza by Wyndham Mardin ***** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 8 | มาร์ดิน - ดารา - วาน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองดาราหรือดาร์ส (Ancient City of Dara, Mesopotamia) (ระยะทาง 36 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) เดิมเคยเป็นเมืองป้อมปราการที่สำคัญของโรมันตะวันออก ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย มีพรมแดนติดกับจักรวรรดิซาสซานิด (เปอร์เซีย) ถือว่ามีความสำคัญของยุทธศาสตร์สอย่างยิ่ง ในความขัดแย้งของชาวโรมัน – เปอร์เซีย ศตวรรษที่ 6 การรบที่มีชื่อเสียงของดาราที่เกิดขึ้น นำท่านเดินทางชมเมืองโบราณและอ่างเก็น้ำใต้ดินขนาดใหญ่สร้างขึ้นในยุคค.ศ 530 จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองวาน (Van) (ระยะทาง 454 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6.10 ขม.) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของทะเลสาบวาน ปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด ได้ฉายาว่า “ไข่มุกแห่งตะวันออก” The Pearl of The East เนื่องจากเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงามมาก โดยมีทะเลสาบวานเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี และที่ราบสูงอาร์มีเนียเป็นทะเลสาบน้ำเค็มแบบทะเลสาบโวดา ที่ได้รับมาจากธารน้ำสายเล็กๆ หลายสายที่ไหลลงมาจากภูเขาที่รายล้อมอยู่ ทะเลาบวานเป็นหนึ่งในทะเลสาบปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านนั่งเรือสู่ เกาะอัคดาม่า (Akdamar Island) อยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 3 กม. เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ใน ทะเลสาบวาน (Lake Van) เกาะแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 0.7 ตารางกิโลเมตร โดยเกาะอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,650 เมตร ทะเลสาบเกิดจากลำธารเล็ก ๆ ในเขตเทือกเขาใกล้เคียงไหลมารวมกันจนกระทั่วกลายเป็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ซึ่งภายในทะเลสาบ ประกอบไปด้วยเกาะหลักๆ จำนวน 4 เกาะด้วยกัน โดยทะเลสาบแห่งนี้ถือว่าเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี และเป็นทะเลสาบที่อยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอีก อิสระให้ท่านถ่ายภาพเก็บความประทับใจตามอัธยาศัย นำท่านเดินทางชมโบสถ์อัคดาม่า (Akdamar Church) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.915-921 สร้างขึ้นจากหินภูเขาไฟสีชมพู เป็นโบถส์รูปทรงกางเขน ผนังโบสถ์ตกแต่งด้วยภาพสีของเฟรสโก้ (Fresco) มีชื่อของพระเยซูอยู่ทางทิศใต้ของโบสถ์ ด้านหน้าโบสถ์แกะสลักเป็นรูปภาพจากพระคัมภีร์เก่าและใหม่ ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่ชายฝั่ง จากนั้นนำท่านเดินทางชมป้อมปราการแห่งวาน (Citadel of Van) เป็นป้อมปราการหินขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นโดยอาณาจักรโบราณแห่งอูราร์ตูในช่วงศตวรรษที่ 9 ถึง 7 ก่อนคริสต์ศักราช และเป็นป้อมปราการหินที่ใหญ่ที่สุด ส่วนล่างของกำแพง สร้างจากหินบะซอลต์ที่ยังไม่ใช้ปูน ในขณะที่ส่วนที่เหลือสร้างจากอิฐโคลน ภายในบริเวณใกล้เคียงกับป้อมปราการ คือ หอคอย Sardur ซึ่งมีคำจารึกเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของอาณาจักรโบราณ Urartu จารึกนี้เขียนเป็น 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาเปอร์เซียโบราณ ภาษาบาบิโลน และภาษาเอลาไมต์ โดยพระเจ้าเซอร์ซีสมหาราชจากศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช ถูกจารึกไว้บนส่วนที่เรียบของหน้าหิน ซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 20 เมตร (60 ฟุต) ใกล้กับป้อมปราการ คำจารึกนี้ยังคงอยู่ในสภาพที่เกือบจะสมบูรณ์ นำท่านเดินทางชม House of Van Cats หรือ แมววาน (Van Cat) เมืองวานมีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้านหนึ่งคือ แมว นับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของที่เมืองวานเท่านั้น ซึ่งมีที่เดียวในโลก ทางรัฐบาลตุรกีได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นสัตว์สงวน ไม่สามารถนำออกนอกประเทศเพื่อขยายพันธุ์ได้ พวกมันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีขนฟูสีขาว และมีนัยน์ตาทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน โดยที่ข้างหนึ่งจะมีสีฟ้า และอีกข้างหนึ่งมีสีเหลือง ขนบางครั้งมีสีแดงๆ บนศีรษะและส่วนหลัง ความหลากหลายนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “แมวว่ายน้ำ” |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Double Tree by Hilton (Van) ***** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 9 | วาน – โดกุเบยาซิด – คาร์ส - เอนิ |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่เมืองโดกุเบยาซิต (Dogubeyazit) (ระยะทาง 179 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.20 ชม.) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของประเทศตุรกี อยู่ติดกับชายแดนอิหร่าน เมืองเบยาซิตได้ถูกทำลายเสียหายอย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามกู้เอกราชตุรกี และในปี 1930 มีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาคือเมือง Dogubeyazit แปลว่า East Beyazit เมืองนี้ถูกโอบด้วยทิวเขา Mt. Ararat พื้นที่ราบส่วนใหญ่ใช้ปลูกหญ้าหรือพืชผลไว้สำหรับเป็นอาหารสัตว์ในฤดูหนาว ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาจะสร้างบ้านที่ทำมาจากดินเหนียว เพื่อเพิ่มความอบอุ่นในฤดูหนาว นำท่านเดินทางชม พระราชวังอิซฮาก พาชาร์ (Ishak Palace) ตั้งอยู่กลางเมืองเบยาซิตเก่า สร้างในสมัยออตโตมันโดย Colak Abdi Pasha นายพลแห่งกองทัพเตอร์กที่เข้ามาปกครองเบยาซิต ในปี 1685 ส่วนที่เป็นฮาเร็ม (Harem) สร้างเสร็จในสมัยของหลานปู่ที่ชื่อ Ishak Pasha ในปี 1784 พระราชวังแห่งนี้สร้างเหมือนคอมเพล็กซ์ มีความสำคัญรองลงมาจากพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ในอิสตันบูล มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น สร้างอยู่บนเนินเขา เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายของอาณาจักรออตโตมัน และเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมออตโตมันในยุคศตวรรษที่ 18 ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ชั้นล่างของพระราชวังสร้างอยู่บนเนินเขาบนชั้นหินที่มีความแข็งแรง อีกสามด้านของพระราชวังเป็นหน้าผาสูง มีเพียงด้านทิศตะวันออกจะเป็นที่ราบ เป็นทางเข้าออก มีหน้ามุขแคบ ๆ ตัวอาคารสร้างด้วยด้วยหินสีแดงอมส้ม ได้มากจากภูเขาที่อยู่ในย่านนี้ สร้างโดยช่างฝีมือชั้นสูงมีการแกะสลักหินไว้อย่างสวยงาม |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่เมืองคาร์ส (Kars) (ระยะทาง 195 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.40 ชม.) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศตุรกี ใกล้กับพรมแดนประเทศอิหร่าน ลักษณะเป็นภูเขาไฟที่มียอดแหลมบนปลายยอดปกคลุมไปด้วยหิมะ มีความสูง 5137 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตำนานเรือโนอาห์ แห่งเทือกเขาอารารัต เล่าว่า พระผู้เป็นเจ้าของชาวยิวได้ช่วยเหลือโนอาร์ กับสมาชิกในครอบครัวอีก 7 คน และสัตว์ชนิดต่างๆ อย่างละ 1 คู่ จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ทั้งหลายไปจนหมดโลก โดยบอกให้โนอาร์ต่อเรือยาวขนาด 137 เมตร แล้วนำสัตว์ต่างๆ ไว้บนเรือ เมื่อเกิดน้ำท่วมเรือโนอาร์ก็ลอยมาติดอยู่บนเทือกเขา อารารัต แห่งนี้ ทุกคนจึงปลอดภัยจากน้ำท่วมโลกในครั้งนั้น ระหว่างทางท่านจะได้เห็นความงดงามของเทือกเขานี้ นำท่านเดินทางสู่เมืองเอนิ (Ani) (ระยะทาง 49 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) บนที่ราบสูงรูปสามเหลี่ยมอันเงียบสงบ หุบเขาที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกับอาร์เมเนีย ปัจจุบันตั้งอยู่ในจังหวัดคาร์ส ประเทศตุรกี ติดกับพรมแดนประเทศอาร์เมเนีย จากนั้นนำท่านเดินทางชม Ani Site History อดีตเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอาร์เมเนียยุคกลาง ปัจจุบันคือ ประเทศอาร์เมเนีย เมืองเอนีตั้งอยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมที่มีแม่น้ำ Arpacia อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศตุรกีกับอาร์เมเนีย ทิศตะวันตกติดกับหมู่บ้าน Tzanghkotzadzor เมืองอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้มักเรียกกันว่า "เมืองแห่งคริสตจักร 1,001 แห่ง" (City of 1001 Churches) เนื่องจากมีวัด โบสถ์ พระราชวัง ป้อมปราการมากมายที่สร้างเรียงรายอยู่บนเส้นทางการค้าโบราณ และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและศิลปะสูงสุดของยุคนั้น ในกลางปีคริสศตวรรษที่ 18 พวกชนเผ่าเคอร์ดิช (Kurdish) ได้เข้ามาปล้นและฆ่าชาวเมือง จนต้องอพยพหนีทิ้งให้เมืองเอนิ กลายเป็นเมืองร้างถึง 100 ปี จนกระทั่งนักเดินทางชาวรัสเซียมาพบเมืองนี้ และนำไปเขียนลงในหนังสือ จากนั้นมีการกำหนดให้เมืองเอนิแห่งนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งใหม่ในปี 1892 ปัจจุบันได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage ในปี 2016 |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Kars I Sirin Hotel **** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 10 | คาร์ส - เอร์ซูรุม |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่เมืองเอร์ซูรุม (Erzurum) (ระยะทาง 205 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.40 ชม.) เป็นเมืองในภาคอานาโตเลียตะวันออกในประเทศตุรกี ชื่อ “Erzurum” แปลตรงตัวว่า “ดินแดนของโรมัน” จนกระทั่งเมืองถูกยึดคืนไปเป็นของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในรัชสมัยของจักรพรรดิบาซิลที่ 2 เมื่อชาวอาหรับที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นถูกเนรเทศ เมืองนี้ก็เป็นที่รู้จักโดยโรมันและต่อมาไบแซนไทน์ว่า “ธีโอโดซิโอโพลิส” (Theodosiopolis) มาได้ชื่อปัจจุบันหลังจากที่เซลจุคเติร์กยึดเมืองคืนได้ในยุทธการแมนซิเคิร์ท (Battle of Manzikert) ใน ค.ศ. 1071 จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ น้ำตกทอร์ทัม (Tortum Waterfall) (ระยะทาง 105 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.40 ชม.) ตั้งอยู่ในใจกลางอนาโตเลียตะวันออก เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของตุรกี น้ำตกแห่งนี้ขึ้นชื่อในด้านความงามอันน่าทึ่งและบรรยากาศอันเงียบสงบ จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางที่ต้องการสำรวจมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์ของตุรกี เป็นหนึ่งในน้ำตกที่สูงที่สุดในตุรกี น้ำตกแห่งนี้ตกลงมาจากความสูงประมาณ 48 เมตร ทำให้เกิดภาพน้ำตกที่ลดหลั่นอย่างน่าทึ่ง กระแสน้ำอันทรงพลังของน้ำตก โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่หิมะละลาย ทำให้เกิดเสียงคำรามดังสนั่นซึ่งได้ยินจากระยะไกล หมอกที่เกิดจากน้ำที่ตกลงมาจะก่อตัวเป็นสายรุ้งในวันที่มีแสงแดดสดใส ช่วยเพิ่มบรรยากาศอันน่าหลงใหล บริเวณโดยรอบน้ำตก Tortum ก็มีเสน่ห์ แมกไม้เขียวขจี พืชพรรณนานาชนิด และภูมิประเทศที่ขรุขระสร้างบรรยากาศที่งดงามราวภาพวาดซึ่งเติมเต็มความงามของน้ำตก ทะเลสาบทอร์ตัม ซึ่งเกิดจากดินถล่มตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ต้นน้ำของน้ำตกและเพิ่มเสน่ห์ให้กับพื้นที่นี้ ทะเลสาบอันเงียบสงบซึ่งมีน้ำทะเลใสดุจคริสตัลเป็นจุดที่สมบูรณ์แบบสำหรับการมาพักผ่อน อิสระให้ท่านถ่ายภาพและชมความงามของน้ำตกตามอัธยาศัย |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางชมเมืองเอร์ซูรุม (Erzurum) ไข่มุกแห่งตุรกีตะวันออก นำท่านเดินทางสำรวจเมืองเอร์ซูรุมตามสถานที่สำคัญต่างๆ นำท่านชมยาคูตีเย เมเดรเซ (Yakutia Madrasa) เป็นโรงเรียนสอนศาสนาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงศตวรรษที่ 14 ในเมืองเออร์ซูรุมประเทศตุรกี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1310 ตามคำสั่งของ Hoca Yakut ผู้ว่าราชการท้องถิ่นของราชวงศ์ Ilkhanids เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีลานด้านใน ล้อมรอบด้วยห้องสำหรับนักเรียน มีประตูทางเข้าขนาดใหญ่ประดับด้วยหินแกะสลักและหออะซานที่มีลวดลายเรขาคณิต นอกจากนี้ยังมีKümbet อยู่ติดกัน ปัจจุบันอาคารนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับการศึกษาชาติพันธุ์วิทยา ศิลปะตุรกี และศิลปะอิสลาม จากนั้นนำท่านชมปราสาทเออร์ซูรุม (Erzurum Castle) ซึ่งอยู่ในอานาโตเลียตะวันออก แม้ว่าปราสาท Erzurum จะสูงเพียงไม่กี่ฟุต แต่ก็มีทิวทัศน์ของภูเขาและเมืองที่มองเห็นได้ดีที่สุด นำท่านชมTwin Minaret Madrasah เป็นอนุสาวรีย์ทางสถาปัตยกรรมของยุค Seljuk ตอนปลาย สร้างขึ้นเป็นโรงเรียนสอนศาสนาไม่กี่ปีก่อนปี ค.ศ. 1265 และชื่อของคำว่า Twin Minaret Madrasa มาจากหอคอยสุเหร่าสองหอที่ประดับยอดด้านหน้าอาคารอันมโหฬาร ทางเข้าด้านตะวันออกของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามและด้านหน้าหินขนาดใหญ่ที่ทำด้วยอิฐประดับและกระเบื้องปูพื้นพร้อมด้วยหออะซาน 2 แห่ง ถือเป็นงานศิลปะที่น่าทึ่ง จากนั้นนำท่านชมมัสยิดใหญ่แห่งเอร์ซูรุม (Grand Mosque of Erzurum) เป็นมัสยิดเก่าแก่ในเมืองเอร์ซูรุม ประเทศตุรกี มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "มัสยิดอาตาบี" เนื่องจากชาวซัลตูคิดส์ถูกเรียกว่า "อาตาบีย์" มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยนัสเรดดิน อัสลัน เมห์เหม็ด เจ้าผู้ครองเมืองซัลทูก ในปีคริสตศักราช 1179 ซึ่งตรงกับปี 574 AH มัสยิดมีรูปทรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคลาสสิกในยุคเซลจุกก่อนออตโตมัน มัสยิดแห่งนี้สามารถรองรับผู้ละหมาดได้มากถึง 10,000 คน |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Hilton Garden Inn Erzurum ***** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 11 | เอร์ซูรุม – อูซันโกล - ทรับซอน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางชม เมืองใต้ดินอายดินเทเป (Aydintepe) (ระยะทาง 150 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) เป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัด Bayburt ในภูมิภาคทะเลดำของตุรกี เมืองใต้ดินอายดิเทเป ตั้งอยู่ใต้เมือง และทอดยาวกว่า 1 กม. เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1988 โดย Hasbi Okumus |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองอูซันโกล (Uzungol) (ระยะทาง 54 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.50 ชม.) หมู่บ้านสวบกลางหุบเขา และ Sumela Monastery แห่งดินแดนสองทวีป ประเทศตุรกี เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยูทางตอนใต้ของเมืองทรับซอน ซึ่งมีทะเลสาบที่สวยงามอยู่กลางหุบเขา ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา ป่าไม้อันเขียวขจี และมีหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่รอบๆทะเลสาบ ส่งผลให้เมืองนี้มีทัศนียภาพอันสวยงามคล้ายกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อิสระให้ท่านได้เลือกซื้อของที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองทรับซอน (Trabzon) (ระยะทาง 106 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.50 ชม.) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลดำ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศตุรกี ทรับซอนตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งหลอมรวมของหลายศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมที่มีอยู่มาช้านานหลายชั่วศตวรรษ และเป็นประตูการค้าที่นำไปสู่เปอร์เซีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ และคอเคซัส ทางตะวันออกเฉียง เหนือ และเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเทรบิซอนด์ ระหว่าง ค.ศ. 1204 ถึง ค.ศ. 1461 ในสมัยใหม่ช่วงตอนต้น ทรับซอนได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากท่าเรือได้มีความสำคัญ จึงกลายเป็นศูนย์รวมการค้าไปยังเปอร์เซียและคอเคซัส |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | Double Tree by Hilton (Trabzon) ***** หรือเทียบเท่า |
วันที่ 12 | ทรับซอน – อิสตันบูล |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านแวะถ่ายภาพด้านนอก Trabzon เป็นกรีกออร์โธดอกซ์ อาราม อุทิศตนเพื่อพระแม่มารี ตั้งอยู่ในหน้าผาสูงชันที่ระดับความสูงประมาณ 1200 เมตร ซึ่งหันหน้าไปทางหุบเขา Altindere เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในทรับซอน ภายในอุทยานแห่งชาติ Altindere |
12.05 น. | ออกเดินทางสู่ สนามบินอิสตันบลู (IST) โดย สายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ TK2841 มีบริการอาหารว่างบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 2.10 ชม.) |
14.10 น. | เดินทางถึง สนามบินอิสตันบลู (IST) เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง |
16.00 น. | ออกเดินทางสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ โดย สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ TK58 (ใช้เวลาบินประมาณ 9.35 ชม.) สายการบินฯ มีบริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า บริการ |
วันที่ 13 | อิสตันบลู - กรุงเทพมหานคร |
05.15 น. | เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ |